สวัสดีทุกคนครับ หลังจากที่ช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศจอร์เจีย (Georgia) มา 2 ครั้ง รวมระยะเวลาการใช้ชีวิตอยู่ที่นู่นเกือบ 20 วันได้ ผมก็เลยขอเอาเรื่องราวและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับประเทศนี้มาฝากทุกๆ คนครับ หากใครอ่านแล้วรู้สึกสนใจอยากจะตามรอยไปเที่ยวบ้าง จะได้เตรียมตัวก่อนออกเดินทางได้ถูกต้องครับ ^^

1. คำว่า “จอร์เจีย” หรือที่ภาษาอังกฤษสะกดว่า Georgia นั้น หากเราพูดขึ้นมาลอยๆ อาจจะสร้างความสับสนได้ว่ามันคือประเทศหรือชื่อรัฐ เพราะทั้งสองที่นั้นจะมีตัวสะกดและการอ่านออกเสียงเหมือนกันเป๊ะเลย ดังนั้นหากเราไม่อยากให้คนอื่นฟังแล้วสับสน เวลาเราพูดก็อาจจะต้องพูดว่าไปประเทศจอร์เจีย หรือรัฐจอร์เจียนะครับ ส่วนเวลาค้นหาข้อมูลใน Google เราก็อาจจะต้องใช้การพิมพ์ว่า Georgia (Country) กับ Georgia State เพื่อเป็นการกรองข้อมูลเบื้องต้น

2. ประเทศจอร์เจีย หรือ Georgia (Country) นั้น เป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย…..แต่หลายๆ คนมักจะนึกว่าอยู่ในยุโรป เพราะด้วยสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งของประเทศนี้มันชวนให้เราคิดว่าอยู่ในยุโรปจริงๆ

3. ประเทศจอร์เจียมีตำแหน่งที่ตั้งอยู่สุดทางตะวันตกของทวีปเอเชียเลย โดยเป็นประเทศที่มีความงามและความอลังการของเทือกเขาคอเคซัสเป็นพระเอกของประเทศ และมีอาณาเขตของประเทศในทิศต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • ด้านทิศตะวันตกติดกับทะเลดำ (Black Sea)
  • ด้านทิศใต้ติดกับประเทศตุรกี (Turkey), อาร์เมเนีย (Armenia) และอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan)
  • ด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan) และรัสเซีย (Russia)
  • ด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศรัสเซีย (Russia)

ขอบคุณภาพประกอบจาก https://agenda.ge/en/news/2019/458

4. ด้วยความที่ประเทศนี้อยู่แทบจะสุดขอบของทวีปเอเชีย และอยู่ใกล้กับทวีปยุโรปมาก ดังนั้นประเทศนี้จึงมีการผสมผสานวัฒนธรรมของสองทวีปไว้รวมกันได้อย่างลงตัว และได้รับการขนานนามว่า “ประเทศสองทวีป” โดยสิ่งที่น่าประหลาดใจสุดๆ ของประเทศนี้ก็คือมีพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศอยู่ในทวีปเอเชีย แต่กลับไปลงแข่งขันกีฬาต่างๆ โดยเฉพาะฟุตบอลกับโซนยุโรปซะงั้น

5. ประเทศจอร์เจียเป็นประเทศที่เราคนไทยสามารถไปเที่ยวได้เลยโดยไม่ต้องขอวีซ่า (Visa) ที่สำคัญเราสามารถอยู่ในประเทศนี้ได้นานถึง 365 วันต่อครั้งเลยครับ!!

6. สำหรับการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศจอร์เจีย เท่าที่ผมทราบมาจนถึงตอนนี้ (สิ้นปี พ.ศ. 2562) ก็ยังไม่มีสายการบินไหนที่บินตรงจากประเทศไทยไปยังประเทศจอร์เจียเลยนะครับ มีแต่ต้องไป via หรือ transit ประเทศอื่น ซึ่งเมืองที่มักจะมีสายการบินไป transit ก็ได้แก่ เมืองดูไบ (Dubai) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, เมืองอัลมาตี้ (Almaty) ประเทศคาซัคสถาน, เมืองมานามา (Manama) ประเทศบาร์เรน, เมืองอิสตันบูล (Istanbul) ประเทศตุรกี เป็นต้น

7. ระยะเวลาการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศจอร์เจียนั้นจะใช้เวลาบินโดยประมาณ 11-12 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้สายการบินอะไร และไป transit ที่ไหน โดยเวลาดังกลาวนี้เป็นระยะเวลาการบินอย่างเดียวยังไม่รวมระยะเวลาการ transit นะครับ

8. สำหรับสายการบินที่ผมเคยใช้บริการ คือ สายการบิน Air Astana ซึ่งเป็นสายการบินของประเทศคาซัคสถาน โดยผมใช้เวลาในการบินจากไทยไปยังเมืองอัลมาตี้ (Almaty) ประเทศคาซัคสถาน ประมาณ 7 ชั่วโมง และใช้เวลาบินจากเมืองอัลมาตี้ ไปยังเมืองทบิลิซี (Tbilisi) ประเทศจอร์เจีย อีกประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนเวลา Transit ที่เมืองอัลมาตี้นั้นจะแตกต่างกันไปครับ บางวันก็รอไม่นานแต่บางวันก็ต้องรอนานมากเหมือนกัน

9. ค่าตั๋วเครื่องบินจากไทยไปประเทศจอร์เจีย โดยเฉลี่ยของสายการบินดีๆ เวลาดีๆ หน่อย จะอยู่ที่ประมาณ 20,000 -25,000 บาท/คน (ไป-กลับ) แต่ก็อาจจะมีบางสายการบินหรือโปรโมชั่นบางช่วงที่จะได้ราคาประมาณ 15,000-18,000 บาท/คน แต่ยังไงก็อย่าลืมเช็คเวลาในการบินด้วยนะครับว่าเวลาโอเคมั้ย ต้องรอต่อเครื่องนานหรือเปล่า

10. เวลาที่ประเทศจอร์เจียจะช้ากว่าประเทศไทย 3 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าถ้าประเทศจอร์เจียเป็นเวลา 6.00 น. ที่ประเทศไทยจะเป็นเวลา 9.00 น. หรือ หากที่ประเทศจอร์เจียเป็นเวลา 21.00 น. ที่ประเทศไทยจะเป็นเวลาเที่ยงคืน ดังนั้นก่อนที่เราจะโทรหาใคร หรือติดต่อใคร กรุณาคำนวณเวลากันดีๆ ก่อนนะครับ

11. ประเทศจอร์เจีย เป็นประเทศที่มีความเก่าแก่มากประเทศนึงของโลก โดยภาษาหลักที่คนจอร์เจียใช้สื่อสารกัน คือ ภาษาจอร์เจีย และภาษารัสเซีย (ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้พูดไม่ค่อยได้ครับ)

12. ประวัติศาสตร์ของประเทศจอร์เจียนั้นมีมายาวนานกว่า 3,000 ปีแล้ว โดยครั้งนึงพื้นที่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งและการค้าของเส้นทางสายไหมอันรุ่งเรืองในอดีต และว่ากันว่าภาษาของประเทศจอร์เจียนั้น เป็นหนึ่งในภาษาที่เก่าแก่มากที่สุดภาษานึงของโลกที่ยังคงมีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันครับ

13. ในอดีตประเทศจอร์เจียเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต แต่ได้มีการแยกตัวออกมาเมื่อปี ค.ศ. 1991 (พ.ศ. 2534) ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมประชากรของที่นี่จึงสามารถพูดภาษารัสเซียกันได้อย่างคล่องแคล่ว

14. ด้วยทำเลที่ตั้ง ทำให้ในอดีตพื้นที่ของประเทศจอร์เจียเป็นพื้นที่ที่มีการต่อสู้และรบกันหลายครั้งมาก และส่งผลให้ประเทศนี้ถูกหมุนเวียนปกครองโดยเผ่าต่างๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 7-18 ที่ประเทศนี้ถูกปกครองโดยเปอร์เซีย, ตุรกี, อาหรับและมองโกล จนกระทั่งช่วงศตวรรษที่ 18 ทางรัสเซียได้เข้ามาผนวกจอร์เจียเป็นส่วนหนึ่งของประเทศตัวเอง และเนรเทศราชวงศ์จอร์เจียออกไปในปี ค.ศ. 1801 (พ.ศ. 2344)

15. ด้วยความที่ประเทศนี้มีการรบพุ่งและต่อสู้กับชนชาติอื่นมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่ประเทศนี้จะเต็มไปด้วยป้อมปราการ (Fortress), กำแพงเมือง รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงมิตรภาพระหว่างประเทศหลังจากที่ได้เลิกรบกันไปแล้ว เช่น Shatili Fortress, Mutso Fortress, Narikala Fortress, Russia–Georgia Friendship Monument, Bridge of Peace

16. หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความเป็นชาวจอร์เจียที่ดีที่สุดก็คือ Mother of a Georgian หรืออีกชื่อคือ Kartlis Deda โดยสิ่งก่อสร้างนี้จะเป็นรูปปั้นหญิงสาวอยู่บนยอดเขาโซโลลากิ (Solo Laki Hill) ในนครทบิลิซี มือข้างหนึ่งของเธอจะถือดาบ ส่วนมืออีกข้างนึงของเธอจะถือแก้วไวน์ อันสะท้อนถึงความหมายว่าหากใครที่มาเยือนจอร์เจียแบบศัตรูเธอจะใช้ดาบในมือขวาฟาดฟันให้แดดิ้น แต่หากใครที่มาเยือนอย่างมิตรไมตรี เธอจะต้อนรับด้วยไวน์ในมือซ้ายอย่างอบอุ่นและอิ่มหนำสำราญ

17. ประเทศจอร์เจียเป็นประเทศที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก โดยในปัจจุบันมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 69,700 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1 ใน 7 ของประเทศไทย) และมีการแบ่งการปกครองออกเป็น 12 เขต ซึ่งประกอบไปด้วย 9 จังหวัด, 2 สาธารณรัฐปกครองตัวเอง และอีก 1 นคร โดย 2 สาธารณรัฐปกครองตัวเองถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริงก็คือเป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัสเซีย และชาวจอร์เจียไม่สามารถเข้าไปทำอะไรในพื้นที่เหล่านี้ได้ซักเท่าไหร่ครับ

ขอบคุณภาพประกอบจาก http://ontheworldmap.com/georgia/

18. ประชากรประเทศจอร์เจียในปัจจุบันมีประมาณ 4 ล้านคน โดยประชากรประมาณ 40% อาศัยอยู่ในนครทบิลิซีซึ่งเป็นเมืองหลวง ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เวลาคุณออกไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ ในประเทศจอร์เจียแล้วคุณจะพบเจอคนน้อยมาก

19. ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจอร์เจียนับถือศาสนาคริสต์นิกายออโทด็อกซ์เป็นหลักมาตั้งแต่ในอดีต ทำให้ประเทศแห่งนี้มีโบสถ์และวิหารที่เก่าแก่และสวยงามมากมาย ทั้งนี้ “ศาสนจักรออร์โธดอกซ์ (Orthodox Church)” หรือที่หลายคนเรียกว่า “คริสตจักรไบแซนไทน์ (Byzantine Church)” นั้น เป็นศาสนจักรที่ปฏิบัติตามหลักการทางเทววิทยาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยศาสนาคริสต์ยุคแรก และศาสนจักรนี้เชื่อว่าคริสตจักรออร์โธด็อกซ์เป็นคริสตจักรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวที่ก่อตั้งโดยพระเยซูคริสต์เจ้า โดยการเข้าโบสถ์ของที่นี่นั้นผู้หญิงจะต้องใช้ผ้าคลุมศีรษะด้วยนะครับ ใครที่เตรียมไปด้วยก็สามารถใช้ของตัวเองได้เลย แต่หากใครไม่มีตามโบสถ์ใหญ่ๆ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เค้าจะมีให้เรายืมใส่ฟรีแทบทุกที่ครับ

20. เวลาการทำงานหรือ Office Hours ของประเทศจอร์เจียส่วนใหญ่จะเริ่มต้นที่ 9.30 น. หรือ 10.00 น. และไปเลิกงานกันเวลา 18.00 น. ดังนั้นคนในประเทศนี้ก็เลยตื่นสายหรือเริ่มวันค่อนข้างช้ามาก!! และด้วยความที่เค้าเริ่มทำงานกันช้า ดังนั้นเวลาการทานอาหารเช้าส่วนใหญ่ของเค้าจึงมักจะเริ่มที่เวลา 9.00 น. และทานอาหารกลางวันกันตอนเวลา 14.00-15.00 น. ใครที่ไปพักที่โรงแรมหรือเกสต์เฮ้าส์ในประเทศนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจนะครับที่จะเจอหลายๆ โรงแรมบอกว่าอาหารเช้าเริ่มบริการตอน 9.00 น. และสามารถเช็คอินเข้าพักได้ตอน 16.00 น. แต่ทั้งนี้ก็จะมีที่พักบางแห่งเหมือนกันที่สามารถให้บริการได้เร็วกว่านั้น เพราะเค้าเองก็เริ่มมีการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของนักท่องเที่ยวมากขึ้น เช่น เริ่มให้บริการอาหารเช้าตั้งแต่เวลา 8.00 น. แต่ถ้าจะพูดกันตรงๆ มันก็ยังเป็นเวลาที่ค่อนข้างสายไปหน่อยสำหรับพวกเราคนไทยครับ T_T

21. โรงแรมและที่พักส่วนใหญ่ของประเทศจอร์เจียจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยโรงแรมใหญ่ๆ จะอยู่ที่นครทบิลิซีและเมืองคัสเบกิเป็นหลัก แต่หากเราเดินทางไปที่เมืองอื่นๆ เรามักจะเจอโรงแรมขนาดเล็กรวมไปถึงเกสต์เฮ้าส์มากกว่า ซึ่งเกสต์เฮ้าหลายๆ ที่นั้นก็จะเป็นการให้บริการให้รูปแบบของการนอนรวมหรือไม่ก็ใช้ห้องน้ำร่วมกัน (Share Bathroom) ครับ

22. สำหรับระบบไฟฟ้าของประเทศจอร์เจียนั้นเค้าจะใช้ไฟฟ้า 220 โวลต์เหมือนกับของประเทศไทย เพียงแต่รูปแบบของเต้าเสียบและปลั๊กไฟนั้นจะเป็นแบบ Type F ซึ่งเป็นแบบสองรูกลมครับ โดยรูปแบบปลั๊กไฟนี้จะถูกใช้กันแพร่หลายในทวีปยุโรป รวมทั้งในประเทศไทยเองก็มีบางเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้รูปแบบปลั๊กไฟแบบนี้ครับ แต่ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งาน ผมแนะนำให้ทุกคนพก Universal Adapter และปลั๊กต่อพ่วงไปด้วยทุกคนนะครับ และสำหรับท่านใดที่ต้องการดูรายละเอียดของปลั๊กไฟรูปแบบต่างๆ ทั่วโลกก็สามารถกดดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ได้เลยครับ

23. ชื่อสกุลเงินของประเทศจอร์เจียแบบเต็มๆ นั้นคือ Georgian Lari (จอร์เจียน ลารี) ครับ โดยเค้าจะใช้อักษรย่อว่า GEL ส่วนวิธีการเรียกสกุลเงินเค้าแบบสั้นๆ นัั้น เราจะเรียกกันว่า “ลารี” นะครับ อย่าไปเรียกว่าเจล (Gel) เด็ดขาดนะ เพราะเดี๋ยวคนที่นั่นเค้าจะงงกัน

24. อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณของ 1 ลารี จะมีค่าเท่ากับ 12-15 บาท และในปัจจุบันนี้เรายังไม่สามารถแลกเงินลารีไปจากประเทศไทยได้ เราต้องนำเงิน US Dollars หรือเงิน Euro ไปแลกเป็นเงินลารีที่ประเทศจอร์เจียครับ

25. สถานที่แลกเงินลารีที่สะดวกที่สุดก็คือสนามบินทบิลิซี โดยเราสามารถนำเงิน US Dollars ไปแลกเป็นเงินลารี หรือนำเงินลารีไปแลกเป็นเงิน US Dollars คืนก็ได้ ซึ่งร้านรับแลกเงินเหล่านี้ยินดีรับแลกเหรียญด้วยนะครับ ดังนั้นวันสุดท้ายก่อนจะเดินทางกลับก็อย่าลืมเอาเหรียญลารีทั้งหมดที่เรามีให้กับร้านแลกเงินด้วยนะครับ เดี๋ยวเค้าจะแปลงเป็นเงินสกุลอื่นๆ ที่เราต้องการให้เอง

26. การใช้งาน Internet ในประเทศนี้ ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) ยังไม่มีผู้ให้บริการไทยรายใดที่ออกผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานในประเทศนี้ได้ ดังนั้นเราก็เลยต้องไปซื้อ Internet Sim ที่ประเทศจอร์เจียเองครับ ซึ่งวิธีการซื้อและการติดตั้งก็ไม่ยุ่งยาก โทรศัพท์หลายๆ รุ่นเพียงแค่เสียบซิมเข้าไปแล้วเปิด Data Roaming ก็สามารถใช้งานได้เลย แต่ในบางรุ่นก็อาจจะต้องไปใส่ API Key เพิ่มเล็กน้อย (สามารถสอบถามเรื่อง API Key กับผู้ที่จำหน่ายซิมได้เลย)

27. ราคา Internet Sim ของประเทศนี้เข้าขั้นถูกเลย โดยเราสามารถดูราคาของซิมยี่ห้อ Magticom ที่ผมใช้งานได้ตามลิงก์นี้ https://www.magticom.ge/ka/private/mobile/packages/mobile-internet-packages หรือดูจากภาพด้านล่างได้เลยครับ ราคาดังกล่าวจะเป็นราคาของปริมาณ Internet ต่างๆ กันไปตามแต่ที่เราต้องการใช้งาน โดยในการซื้อครั้งแรกเราจะต้องเสียเงินซื้อซิมเพิ่มอีก 5 ลารีด้วยครับ (ราคาของแพคเกจอินเตอร์เนตอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากใครมีแผนจะเดินทางไปผมแนะนำให้เข้าไปดูราคาและปริมาณล่าสุดที่เวบไซต์ที่ผมได้ลงไว้ได้เลยครับ)

28. ความเร็วต่างๆ ในการใช้งาน Internet Sim ของซิมยี่ห้อ Magticom อยู่ในระดับความเร็วกลางๆ มีทั้ง 3G 4G และครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้เป็นอย่างดี…………แต่เวลาที่เราเดินทางเข้าป่าเข้าเขาก็ไม่มีสัญญาณนะ

29. หากใครที่ใช้ Internet Data หมด ก็สามารถที่จะให้ไกด์ชาวจอร์เจียช่วยเติมเงินให้เราได้ครับ แต่หากใครที่ไปเที่ยวเองก็อาจจะลำบากและยุ่งยากหน่อย ดังนั้นสำหรับใครที่เดินทางไปเที่ยวเองโดยไม่มีไกด์ที่นู่น ผมแนะนำให้ซื้อปริมาณ Internet ไว้เผื่อเลยครับ

30. Internet Sim บางยี่ห้อ (รวมถึงยี่ห้อ Magticom) เมื่อใช้งานกับโทรศัพท์ iOS จะไม่สามารถใช้ฟังก์ชั่น Hotspot ได้ ดังนั้นผมแนะนำว่าให้ทุกคนซื้อคนละอันเถอะครับ ราคาไม่ได้แพงมาก และมันสะดวกในการใช้งานมากกว่า

31. เมืองหลวงในปัจจุบันของประเทศจอร์เจียนั้นคือ นครทบิลิซี (Tbilisi) โดยเมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองหลวงในอดีตที่ชื่อว่าเมืองมิชเคตา(Mtskheta) ประมาณ 25 กิโลเมตรเท่านั้น

32. ทั้งเมืองทบิลิซีและเมืองมิชเคตานั้น เป็นเมืองที่มีความสวยงามมาก มีตึกรามบ้านช่องที่เป็นสถาปัตยกรรมเก่าๆ ให้เราดูและถ่ายรูปเต็มไปหมด ใครที่ชอบสถาปัตยกรรมเหล่านี้รับรองว่าฟินมาก

33. ประวัติคร่าวๆ ของเมืองทบิลิซีนั้นมีการเล่ามาว่า สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 กษัตริย์วาคตัง จอร์กาซาลี (Vakhtang Gorgasali) แห่งประเทศจอร์เจีย ได้พบเจอเมืองนี้โดยบังเอิญจากเหตุที่พระองค์เสด็จล่าสัตว์พร้อมอินทรีย์คู่ใจ โดยในวันนั้นพระองค์สามารถล่าไก่ฟ้าได้ และไก่ฟ้าตัวนั้นได้ตกลงมาตายในบริเวณที่มีบ่อน้ำพุร้อนอยู่เป็นจำนวนมาก พระองค์เห็นแล้วรู้สึกประทับใจในสถานที่แห่งนั้นจึงได้สร้างเป็นเมืองขึ้นมา จนกระทั่งเมื่อพระโอรสของพระองค์ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ก็ได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองมิชเคตา (Mtskheta) ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 25 กิโลเมตรมาอยู่ที่เมืองทบิลิซี ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

34. คำว่าทบิลิซี (Tbilisi) มีความหมายว่า ร้อนหรือความอบอุ่น โดยเป็นการตั้งชื่อเมืองตามสภาพแวดล้อมที่มีน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งด้วยความที่เมืองนี้มีน้ำพุร้อนธรรมชาติมากมายแบบนี้ก็เลยทำให้ภายในเมืองมีโรงอาบน้ำร้อนเปิดบริการด้วยครับ ใครที่สนใจก็สามารถไปใช้บริการได้เลย เค้าบอกว่ามีประโยชน์มากมายเลยแหละ

35. ใกล้ๆ กับโรงอาบน้ำร้อนในนครทบิลิซีนั้นจะมีน้ำตก Leghvtakhevi Waterfall ซึ่งเป็นน้ำตกที่ไหลผ่านกลางเมืองด้วยครับ มันเป็นอะไรที่อเมซซิ่งมากๆ

36. ลักษณะนิสัยของชาวจอร์เจียส่วนใหญ่จะอัธยาศัยดี เป็นมิตร และขี้เล่น นอกจากนี้ผู้ชายชาวจอร์เจียยังมีความสามารถในการดื่มไวน์และแอลกอฮอล์ที่สูงมากๆ อีกด้วย ใครที่คิดว่าตัวเองคอแข็งก็ลองไปดวลกับเค้าดูนะครับ ><

37. อาหารของประเทศจอร์เจียส่วนใหญ่จะเน้นที่แป้ง, ชีส, แตงกวา และมะเขือเทศเป็นหลัก โดยคุณจะได้กินของสี่อย่างนี้จนเอียนไปเลย!! (คนจอร์เจียนี่รับประทานมะเขือเทศกับแตงกวาเป็นลูกๆ อย่างสบายมาก) ดังนั้นใครที่ทานอาหารสี่อย่างนี้ไม่ค่อยได้ ผมแนะนำให้เตรียมอาหารแห้งจากไทยไปดีๆ ครับ

38. เกินกว่า 50% ของอาหารในประเทศนี้จะมีส่วนผสมของแป้งและชีส เพราะคนที่นี่จะชอบทาน 2 อย่างนี้มาก และด้วยความที่อาหารส่วนใหญ่นั้นประกอบไปด้วยชีสเป็นหลักก็เลยทำให้รสชาติอาหารส่วนใหญ่มีรสชาติเค็มนำครับ

39. สองประเภทอาหารที่ผมอยากให้ทุกคนได้มาประเทศนี้ได้มีโอกาสลองชิมดูก็คือคาชาปูริ (Khachapuri) และคินคาลิ (Khinkali) โดยคาชาปูรินั้นจะมีลักษณะคล้ายๆ กับพิซซ่าชีส ส่วนคินคาลินั้นจะเป็นอาหารทานเล่นที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ผสมเครื่องปรุงต่างๆ แล้วนำไปห่อด้วยแป้ง หน้าตาโดยรวมและวิธีการกินจะเหมือนกับเสี่ยวหลงเปาเลย เพียงแต่คินคาลิจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและแป้งมีความหนามากกว่าครับ

40. เครื่องดื่มที่ผมไม่อยากให้ทุกคนพลาดเลยเมื่อได้มาเยือนประเทศนี้ก็คือน้ำเลมอนเนด (Lemonade) แบบขวดครับ โดยน้ำเลมอนเนดนี้เป็นอะไรที่คนจอร์เจียทานกันเยอะมาก มีหลายยี่ห้อ และหลายรสชาติสุดๆ บางรสชาติ บางสีเราก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะมี ใครที่ไปเที่ยวเป็นแกงค์ใหญ่ๆ ควรจะจัดมาลองให้หมดทุกแบบครับ!! ส่วนใครที่ไม่ชอบทานน้ำอัดลมซ่าๆ แบบนี้ หลายๆ ร้านอาหารเค้าก็มีน้ำเลมอนเนดโฮมเมดที่ขายเป็นเหยือก และไม่มีการอัดแก๊ซด้วยนะ ยังไงถ้ามีโอกาสก็ลองชิมดูนะครับ

41. ส่วนขนมอย่างนึงที่ไปถึงประเทศจอร์เจียแล้วต้องหามาชิมให้ได้ก็คือคูซเซล่า (Churchkhela) ขนมโบราณของจอร์เจียที่ทำจากพวกถั่ววอร์ลนัท, เฮเซลนัท, อัลมอนด์ มาร้อยเข้าด้วยกันจากนั้นนำไปจุ่มน้ำตาล, น้ำองุ่น หรือน้ำผลไม้อื่นๆ ที่ผสมแป้งไว้เรียบร้อย โดยหลังจากที่จุ่มเสร็จก็จะนำไปตากแห้งครับ ลักษณะรูปร่างของขนมคูซเซล่าหลังจากที่เสร็จแล้วจะมีรูปร่างคล้ายๆ กับกุนเชียง หรือไส้อั่วบ้านเรา ส่วนรสชาติของมันนั้นผมว่าหนืดๆ เหนียวๆ หวานนิดๆ เคี้ยวแล้วหนึบๆ เหมือนเคี้ยวยางลบยังไงก็ไม่รู้ครับ ><

42. สำหรับคนที่ไปเที่ยวประเทศจอร์เจียหลายวัน แล้วรู้สึกเบื่อหรือเอียนกับแป้งและชีส และเกิดความรู้สึกโหยหาอาหารไทยแบบสุดๆ ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับร้านอาหารไทยในนครทบิลิซีที่มีชื่อว่าร้านต้มยำ (Tom Yum) ครับ โดยคุณสามารถเดินทางไปทานอาหารที่ร้านนี้ได้ตามพิกัดนี้เลย 688986, 44.798704 หรือไม่ก็คลิกลิงก์ Google Map ตามนี้ได้ครับ ตำแหน่งที่ตั้งของร้านอยู่ไม่ไกลจากป้อมนาริกาลามากนัก และเจ้าของร้านกับพนักงานล้วนแต่เป็นคนไทย คุณสามารถสื่อสารภาษาไทยและสั่งเมนูอาหารที่คุณอยากทานได้เลยครับ ^^

43. ด้วยความที่ประเทศจอร์เจียเป็นประเทศเกษตรกรรม และว่ากันว่าในสมัยก่อนประเทศแห่งนี้ถือเป็นแหล่งผลิตอาหารหลักให้กับสหภาพโซเวียต ดังนั้นผักและผลไม้ของประเทศนี้จึงดีงามมาก ทั้งหวาน สด และถูกสุดๆ ที่สำคัญผักผลไม้หลายๆ ชนิดที่นี่ลูกโตมากกกกกกก

44. ในเรื่องราคาของผักผลไม้ที่ว่าถูกสุดๆ นั้น หลายคนอาจจะนึกภาพไม่ออกว่าถูกระดับไหน เอาเป็นว่าลูกเชอร์รี่สุดอร่อยใน ประเทศนี้เค้าขายกันกิโลกรัมละ 2 ลารี (ไม่ถึง 30 บาท) ส่วนลูกพีชนี่ขายกันกิโลกรัมละ 1-1.5 ลารี (ประมาณ 15-20 บาท) เรียกว่าถูกสุดๆ ใครที่ชอบทานผักผลไม้น่าจะถูกใจมากกับการมาประเทศนี้มากครับ

45. ด้วยความที่เค้าเป็นประเทศเกษตรกรรมและสามารถปลูกพืชเมืองหนาวได้ ดังนั้นประเทศจอร์เจียจึงมีการปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์เยอะมาก นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่เชื่อกันว่ามีการผลิตไวน์ในพื้นที่แห่งนี้ตั้งแต่ช่วงประมาณ7,000 -ปีก่อนคริสต์ศักราชอีก และนั่นทำให้ประเทศจอร์เจียเป็นหนึ่งในชาติที่ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดในยุโรป จนได้ชื่อว่าเป็น“The birth place of wine” หรือ “The Cradle of Wine Making”

46. ไวน์ของประเทศจอร์เจียขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยและราคาที่คุ้มค่าสุดๆ โดยไวน์ที่จำหน่ายในประเทศจอร์เจียราคาขวดละ 5-7 ลารี (ประมาณ 150-200 บาท) นั้น มีรสชาติที่สามารถสู้กับไวน์ขวดละ 1,000 บาทในประเทศไทยได้เลย ยิ่งหากใครที่จัดซักขวดละ 20-30 ลารี (250-400 บาท) ยิ่งโคตรฟินครับ

47. สำหรับของฝากที่ขึ้นชื่อของประเทศนี้ก็คงหนีไม่พ้นไวน์ และผลไม้ โดยผลไม้ที่ขึ้นชื่อและคุ้มค่าแก่การหิ้วก็มีทั้งเชอร์รี่, พีช, องุ่น และเบอร์รี่ต่างๆ ใครที่คิดว่าตัวเองมีความสามารถแบกของเหล่านี้กลับประเทศไทยได้โดยไม่แตก ไม่ช้ำ ก็หิ้วมาเลยครับ มันถูกและดีมาก!!

48. สถานที่เที่ยวในประเทศจอร์เจียจะแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักๆ ได้แก่ กลุ่มสถาปัตยกรรม และกลุ่มธรรมชาติ โดยคนที่ชอบชมสถาปัตยกรรมหรือโบราณสถานต่างๆ อันนี้ต้องบอกว่าดีหน่อย เพราะการเดินทาง หรือถนนหนทางนั้นจะไม่ลำบากมากนัก (อาจจะมีลำบากบ้างแต่ก็แค่บางที่) แต่สำหรับกลุ่มคนที่ชอบท่องเที่ยวแบบธรรมชาตินั้นต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมกับถนนและเส้นทางที่คุณจะได้เจอด้วยนะครับ!!

49. ถนนในประเทศจอร์เจียหลายๆ เส้นทาง โดยเฉพาะการไปเที่ยวสถานที่ที่มีความงดงามทางธรรมชาติ เช่น จูตา (Juta), ทรูโซ วัลเล่ย์ (Truso Valley), ทะเลสาบอะบูเดลารี (Abudelauri Lakes) หรือน้ำตกต่างๆ นั้น ผมต้องบอกเลยว่าเส้นทางค่อนข้างโหดร้ายมากครับ ถนนส่วนใหญ่เป็นทางดินที่มีความขรุขระสูง, มีการขึ้นเขาชัน, มีการผ่านโค้งแบบหักศอกติดๆ กัน จนไปถึงมีการลุยผ่านน้ำ ดังนั้นใครที่เมารถง่ายก็ควรเตรียมตัวเตรียมใจไว้ดีๆ ส่วนใครที่ไม่มีปัญหาเรื่องของการเมารถก็ให้เตรียมก้น, ข้อมือ และผ้าปิดปากปิดจมูกไปให้พร้อมนะครับ ฝุ่นมันเยอะมาก แต่เชื่อเถอะว่าพอไปถึงแล้วคุณจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเหนื่อย คุ้มกับความลำบากที่เดินทางไปครับ

50. ด้วยความที่ถนนหลายๆ เส้นทางมันโหดร้ายดุดันแบบนี้นี่แหละ ก็เลยทำให้ไกด์ท้องถิ่นหรือทัวร์ท้องถิ่นต้องใช้รถ 4WD เป็นพาหนะพาเราไปที่ต่างๆ ซึ่ง 99% ของรถ 4WD ของที่นี่เนี่ยมันคือรถ Mitsubishi Delica ที่สามารถนั่งได้ 7 ที่นั่งครับ เป็นรถรุ่นที่เค้านิยมใช้กันมากกกกกก โดยจุดเด่นของรถ Mitsubishi Delica นี้ก็คือ บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังจะไม่สามารถเปิดกระจกได้ครับ!!! โคตรพีค นั่งแล้วแอบอึดอัดพอควร เพราะเราจะสามารถแง้มหน้าต่างออกไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้น @_@

51. นอกจากนั้น ด้วยความที่รถรุ่นนี้เป็นรถที่นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้นพวงมาลัยของรถก็เลยอยู่คนละด้านกับรถรุ่นอื่นๆ ที่ใช้งานในประเทศ คือ คนอื่นเค้าพวงมาลัยซ้ายกัน แต่เจ้า Mitsubishi Delica นั้นพวงมาลัยขวาจ้า ใครที่นั่งข้างคนขับก็ตื่นเต้น และเกร็งจิกนิ้วเท้ากันไปนะครับ ><

52. ยิ่งไปกว่านั้นชาวจอร์เจียส่วนใหญ่มักจะไม่ชอบเปิดแอร์ขับรถ โดยโชเฟอร์จะเปิดกระจกด้านหน้าให้ลมพัดผ่าน ซึ่งหากเป็นหน้าหนาวมันก็โอเคครับ แต่หากใครที่ไปเที่ยวหน้าร้อนที่อุณภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส ผมบอกเลยว่ามีเฉา T___T

53. สำหรับฤดูกาลของประเทศจอร์เจียนั้นจะมีทั้งหมด 4 ฤดูได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ (มี.ค. – พ.ค.), ฤดูร้อน (มิ.ย. – ส.ค.), ฤดูใบไม้ร่วง (ก.ย. – พ.ย.) และฤดูหนาว (ธ.ค. – ก.พ.) โดยแต่ละฤดูนั้นก็มีความสวยงามและความน่าเที่ยวต่างกัน อย่างเช่น ฤดูหนาวก็จะมีความสวยงามของหิมะ เหมาะที่จะเล่นสกี แต่การเดินทางไปหลายที่นั้นลำบากมากกก, ช่วงฤดูร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิก็จะได้ความงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้ความงามของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีครับ

54. ด้วยความที่ประเทศจอร์เจียนั้นยังเป็นประเทศที่มีความสดใหม่ มีธรรมชาติที่สวยงาม และยังมีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ ทำให้ประเทศนี้น่าไปเที่ยวมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบความมัน ความลุย และชอบเรื่องราวของประวัติศาสตร์น่าจะถูกใจกับการไปที่นี่มากครับ

55. กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ไปเที่ยวประเทศจอร์เจียตอนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์, สถาปัตยกรรม หรือการเทรคกิ้ง (Trekking) โดยนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นแนวแบกเป้มากกว่ากรุ๊ปทัวร์

56. การเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ในประเทศจอร์เจียนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองทบิลิซี่หรือสถานที่เที่ยวดังๆ ที่การเดินทางสะดวกหน่อย โดยกรุ๊ปทัวร์ชาวจีนหรือเกาหลีจะยังมีไม่ค่อยเยอะครับ

57. ประเทศจอร์เจียมีเส้นทางเทรคกิ้ง (Trekking) และไฮกิ้ง (Hiking) เยอะมาก โดยหลายๆ เส้นทางต้องใช้เวลาเดินเท้ากัน 3-4 วันเลย ซึ่งเส้นทางเหล่านี้ล้วนแต่มีความสวยงามของธรรมชาติมากๆ ครับ ใครที่สนใจจะไปเที่ยวตามเส้นทางเหล่านี้ก็เตรียมความพร้อมของร่างกายไปให้ดีๆ แล้วออกไปลุยกันได้เลย!

58. สำหรับคนที่ต้องการจะเที่ยวจอร์เจียแบบสบายๆ เน้นประวัติศาสตร์และสถานที่ดังๆ ภายในนครทบิลิซีหรือเมืองใกล้ๆ ก็สามารถที่จะแบกเป้ไปจากไทยและเที่ยวเองได้ โดยภายในนครทบิลิซีจะมีรถไฟฟ้าบริการ รวมทั้งมีบริษัททัวร์ที่จัดแพคเกจ 1 Day Trip ไปยังเมืองต่างๆ มากมายครับ

59. ส่วนที่คนที่ต้องการเที่ยวแบบธรรมชาติลุยๆ หน่อย รวมทั้งอยากจะถ่ายภาพในที่สวยๆ เดินทางลำบากนิดๆ แบบชนิดที่คนอื่นไม่ค่อยไปกันซักเท่าไหร่ ผมแนะนำให้ลองไปกับทาง Tripchillchill ทริปถ่ายภาพท่องเที่ยว ดูครับ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนี่น่าจะเป็นบริษัททัวร์ถ่ายภาพแรกของประเทศไทย ที่จัดทริปพากลุ่มคนที่รักการถ่ายรูปไปตะลุยที่ประเทศนี้ครับ โดยภาพถ่ายที่ทุกคนได้เห็นในบทความนี้ก็มาจากการที่ผมกับเพื่อนๆ เดินทางไปกับ Tripchillchill นี่แหละครับ

60. เพื่อความมั่นใจและปลอดภัยในการเดินทาง ผมแนะนำว่าทุกคนควรจะทำประกันการเดินทางก่อนออกเดินทางท่องเที่ยวทุกครั้งครับ โดยจะเลือกสมัครเป็นรายครั้งหรือรายปีก็ได้ แต่สำหรับผมแล้วตอนนี้ผมใช้บริการประกันการเดินทางรายปีชนิด Easy 3 จาก MSIG อยู่ โดยมีเบี้ยประกันปีละ 3,750 บาท ซึ่งในทริปแรกที่ผมเดินทางนั้นผมสามารถเคลมค่าเครื่องบินล่าช้าที่ประเทศคาซัคสถานได้ตั้ง 2,000 บาทแหน่ะ เรียกว่าแค่ทริปเดียวก็เคลมเงินคืนได้เกินครึ่งนึงของค่าสมัครแล้วครับ ><

และทั้งหมดนี้ก็คือ 60 เรื่องน่ารู้ ก่อนออกเดินทางไปยังจอร์เจีย ครับ ใครที่กำลังสนใจจะเดินทางไปเที่ยวประเทศนี้อยู่ก็คงพอจะเห็นภาพต่างๆ มากขึ้นแล้ว และสำหรับใครที่กำลังหลงเสน่ห์ของประเทศนี้ ผมแนะนำให้กดไปอ่านบทความอื่นๆ ของผมเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ รับรองว่าแต่ละบทความจะยิ่งทำให้คุณหลงรักและอยากไปประเทศนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน ^^