สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับหนึ่งในร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ นั่นก็คือร้าน “Kitsune Shabu Sushi Buffet” โดยจุดเด่นที่สำคัญของร้านนี้ก็คือ
-
เป็นร้านในเครือของ Sushi Hiro หนึ่งในร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคุณภาพดี และราคาไม่แรง
-
มีเมนูอาหารหลากหลายมากกว่า 200 เมนู ทั้งเนื้อ, เทปันยากิ, เครื่องดื่ม, ของหวาน, ไอศกรีม จนไปถึงของทานเล่น
-
มีให้เลือกทานทั้งชาบูและปิ้งย่าง (ราคาปิ้งย่างจะสูงกว่า 50 บาท/คน) โดยสำหรับคนที่ทานชาบู ทางร้านจะจัดเป็นหม้อแยกของใครของมันให้เลยครับ
-
สามารถนั่งทานได้นานถึง 2 ชั่วโมง
สำหรับร้าน Kitsune Shabu Sushi Buffet นั้น ปัจจุบันนี้มีเพียงสาขาเดียวเท่านั้น คือที่ชั้น 2 ของ The Crystal SB ราชพฤกษ์ ใกล้ๆ กับร้าน Sushi Hiro ครับ โดยเวลาเปิดบริการของทางร้านก็คือ 11:00 น. – 22:00 น.
Disclosure : บทความนี้เป็นบทความที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการใดๆ ทั้งสิ้น
หลังจากที่เราเข้าไปในร้านแล้ว ทางพนักงานจะสอบถามเราว่าจะทานปิ้งย่างหรือชาบู เพราะการทานปิ้งย่างนั้นจะต้องแยกไปนั่งอีกโซนนึง ซึ่งจากที่ผมได้ลองนับจำนวนโต๊ะคร่าวๆ ก็คิดว่าพื้นที่สำหรับทานชาบูน่าจะรองรับได้ประมาณ 100 คน ส่วนที่นั่งสำหรับปิ้งย่างน่าจะนั่งได้ประมาณ 40 คน ดังนั้นถ้าใครจะทานปิ้งย่างที่ร้านนี้นอกจากจะต้องจ่ายเงินแพงกว่าแล้วยังอาจจะต้องทำใจเรื่องการรอโต๊ะด้วยนะครับ
สำหรับผมกับต๋งวันนี้เราเลือกทานเป็นชาบู ซึ่งมีโต๊ะเลย โดยหลังจากที่เรานั่งที่โต๊ะเรียบร้อยทางพนักงานก็ได้เข้ามาอธิบายข้อมูลคร่าวๆ และสอบถามว่าเราจะเลือกน้ำซุปอะไรจากจำนวน 6 ชนิด ดังนี้
-
Kitsune Shabu (คิทสึเนะ ชาบู)
-
Kitsune Sukiyaki (คิทสึเนะ สุกี้ยากี้)
-
Niku Beef (ซุปเนื้อ)
-
Miso Tonkosu (มิโซะ ทงคัตสึ)
-
Spicy Tomyum (ซุปต้มยำรสจัดจ้าน)
-
Tan Tan Buta (ซุปตันตัน)
ผมกับต๋งเลือกน้ำซุปเป็น Kitsune Sukiyaki และ Tan Tan Buta เพราะคิดว่าน้ำซุปทั้งสองชนิดนี้รสชาติน่าจะต่างกัน โดยอันแรกเป็นซุปน้ำดำที่เรากินกันเป็นส่วนใหญ่ ส่วนอันหลังดูจากรูปแล้วน่าจะซุปที่รสชาติเผ็ดจัดจ้าน แต่กลับกลายเป็นว่ารสชาติของน้ำซุปทั้งสองนั้นออกไปในทางเดียวกันคือกลางๆ ไม่ได้เผ็ดอะไร จะแตกต่างกันเล็กน้อยก็แค่ Tan Tan Buta นั้นจะรู้สึกมันกว่าหน่อย
อ้อ อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นนะครับว่าการทานชาบูที่นี่จะแยกหม้อใครหม้อมัน โดย 1 โต๊ะ จะนั่งได้ 4 คน และต่างคนต่างปรับความแรงของไฟได้เองเลย
หลังจากที่ผมสั่งน้ำซุปไปเรียบร้อย ผมก็เริ่มสำรวจเมนูกับป้ายต่างๆ บนโต๊ะ และก็สะดุดกับป้ายขนาดเล็กที่ด้านนึงเขียนถึงกติกาการกินบุฟเฟ่ต์ และอีกด้านนึงเขียนถึงวิธีการรับเมนูพิเศษประจำสัปดาห์ ซึ่งผมแนะนำให้อ่านให้ดีนะครับจะได้ไม่พลาดสิทธิ์ในการรับเมนูพิเศษไป รวมถึงไม่พลาดถูกทางร้านปรับเงินเพราะทานอาหารไม่หมดครับ
สำหรับระเบียบของการทานบุฟเฟ่ต์ที่เราควรจะต้องรู้ไว้ก่อนก็คือ
-
เรามีเวลาในการทาน 2 ขั่วโมง
-
หากทานเกินเวลา ทางร้านจะคิดเพิ่มคนละ 50 บาท ต่อทุกๆ 15 นาที
-
การเปลี่ยนน้ำซุปคิดค่าบริการครั้งละ 50 บาท
-
เราต้องคืนบัตร Order Card หลังจากที่ทานเสร็จ โดยหากบัตรหายจะโดนปรับใบละ 100 บาท
-
หากเราทานอาหารไม่หมด ทางร้านจะมีการปรับเงิน โดยจะมีราคาแตกต่างกันไปตามประเภทอาหาร และหากใครตั้งใจปิ้งให้ไหม้ หรือนำไปซ่อนในภาชนะอื่นๆ ก็จะมีโทษปรับแตกต่างกันออกไป @[email protected]
นี่เป็นหน้าตาของบัตร Order Card ที่ทางร้านจะปรับใบละ 100 บาท หากเราทำหาย โดยบัตรนี้เราจะต้องใช้ในการสั่งอาหารพวกเทปันยากิและอาหารทานเล่นต่างๆ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ตอนที่คิดเงินผมก็ไม่เห็นทางร้านนับบัตรนี้นะครับ ที่สำคัญแต่ละโต๊ะก็มีจำนวนบัตรไม่เท่ากันด้วย – -“
เอาล่ะ ทีนี้เรามาดูเมนูอาหารต่างๆ ที่เราจะสามารถสั่งได้ในการทานชาบูกันดีกว่า โดยผมจะขอกรุ๊ปให้ทุกคนเห็นภาพง่ายๆ ดังนี้นะครับ
-
เมนูเนื้อต่างๆ ที่ไว้สำหรับกินกับชาบู
-
ซูชิและชาชิมิ
-
อาหารประเภทเทปันยากิ
-
สลัด
-
ติ่มซำ
-
อาหารทานเล่น เช่น ปลาไข่ชิชาโมะย่าง, ยากิโซบะ, เกี๊ยวซ่า, ทาโกะยากิ, เทมปุระ, เบคอนพันเห็ดเข็มทอง, หอยเชลล์ไดนาไมท์
-
เครื่องดื่ม
-
ของหวาน จากร้าน HiroKeki
-
ไอศกรีม ifresh
ซึ่งอาหารแต่ละประเภทนั้นก็มีให้เลือกหลายรายการมาก ดังนั้นการที่ทางร้านบอกว่ามีอาหารให้เลือกทั้งหมดมากกว่า 200 เมนูนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่พูดเกินความจริงเลย
เอาล่ะ เรามาไล่ดูรสชาติกับคุณภาพของอาหารแต่ละประเภทกันดีกว่า เริ่มจากรายการเนื้อ โดยเมนูเนื้อสำหรับการทานชาบูที่ Kitsune นั้นจะมีให้เลือกทั้งหมู เนื้อ กุ้ง ปลาหมึก แซลมอน หอยแมลงภู่ ซึ่งทางร้านเองก็ได้ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพดีในแต่ละรายการ กุ้งและหอยแมลงภู่ตัวใหญ่ ความสดอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนบรรดากลุ่มเนื้อและหมูนั้น ทางร้านก็ทำการสไลด์สดๆ ที่ร้านเลย แต่ทั้งนี้ผมรู้สึกว่าทางร้านทำการสไลด์เนื้อชิ้นหนาเกินไป ทำให้รสชาติยังไม่ถูกปากผมกับต๋งเท่าที่ควร รวมๆ แล้วสำหรับในกลุ่มเนื้อและหมูนั้น ผมให้รสชาติอยู่ในระดับกลางๆ ครับ














สำหรับน้ำจิ้มของชาบูนั้นจะมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ พอนสึ, ถั่วงาญี่ปุ่น, สุกี้แบบไทย แล้วก็น้ำจิ้มซีฟู้ด โดยตำแหน่งการตักน้ำจิ้มจะอยู่ที่เดียวกับสลัดบาร์ ส่วนรสชาตินั้นแล้วแต่คนชอบครับ แต่ผมเองรู้สึกเฉยๆ กับทั้ง 4 อัน ไม่มีอันไหนที่โดนใจเลย
ต่อกันที่พวกซูชิและซาชิมิ ด้วยความที่ร้าน Kitsune เป็นร้านที่อยู่ในเครือเดียวกับ Sushi Hiro ทำให้ผมหวังในเรื่องรสชาติกับคุณภาพของอาหารหมวดนี้สูงกว่าหมวดอื่นๆ ซึ่งต้องบอกว่าทางร้านก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับแซลมอนซาชิมิครับ ลายสวย คุณภาพดี เรียกว่าแทบไม่ต่างจากการเข้าไปกินที่ Sushi Hiro เลย
ส่วนเมนูอื่นๆ ในหมวดนี้ ผมให้คะแนนกลางๆ ไม่ได้ประทับใจเท่าไหร่ คือ อาจจะดีกว่าไลน์บุฟเฟ่ต์ของหลายๆ ร้าน แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่ผมตั้งใจไว้ โดยเฉพาะบรรดาซูชิที่เป็นหน้าพิเศษต่างๆ นอกจากจะออกมาน้อยแล้วรสชาติยังแปลกๆ อีกด้วยครับ อย่างซูชิหน้าปลาไหลนี่ผมต้องรอเกือบ 2 ชั่วโมง ถึงจะได้กิน และรสชาตินั้นก็ไม่สมกับการรอคอยเท่าไหร่ เพราะทางร้านมีการนำไปฟิวชั่นกับแป้งเทมปุระซึ่งผมว่ารสชาติมันไม่เข้ากันเลย
สรุปสำหรับหมวดนี้ ผมยกให้แซลมอนซาชิมิเด่นสุด ใครอยากทานแซลมอนซาชิมิเยอะๆ แบบไม่ต้องกังวลว่างบจะบานปลายก็มาจัดที่นี่ได้เลย เมนูนี้ทางร้านนำมาวางไว้เยอะและเติมเร็วมากครับ








เข้าสู่หมวดที่สาม อาหารประเภทเทปันยากิ จุดทำอาหารหมวดนี้จะอยู่แถวบริเวณทางเข้าเลย เด่นและมีพื้นที่ใหญ่มาก นอกจากนี้ก็ยังมีประเภทของเนื้อให้เราสั่งมาทานได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหมู เนื้อ แซลมอน หอย กุ้ง ปลาหมึก ซึ่งผมเองได้สั่งมาลองสองอย่างคือเนื้อและหมู และมันคือความเลวร้ายของอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมาก ทั้ง 2 จานที่ได้มานั้นเหนียวและเคี้ยวยากมากกกกกกก รสชาติก็ไม่ถูกปากเลย แต่ด้วยความที่กลัวว่าจะถูกทางร้านปรับเงินก็เลยต้องฝืนใจเคี้ยวจนเมื่อยฟันครับ T_T
สรุปสำหรับหมวดนี้ เนื้อและหมูเทปันยากิ ไม่โดนใจอย่างแรง ส่วนแซลมอน หอย กุ้ง ปลาหมึก ไม่ได้ชิม ไม่ขอออกความเห็นครับ





หมวดที่ 4 สลัด ส่วนนี้จะมีผักให้เลือกตักหลากหลายชนิด รวมไปน้ำสลัดอย่างเทาส์ซันไอแลนด์, ซีซาร์, ครีมงาญี่ปุ่น, งาซีอิ้วญี่ปุ่น แล้วก็ครีม ซึ่งตัวผมกับต๋งเองไม่ได้ลองทานอาหารในกลุ่มนี้ก็เลยไม่ขอออกความเห็น แต่เท่าที่ดูหน้าตาของผักต่างๆ ก็ถือว่าหน้าตาสวยงาม ดูน่ากินดีครับ
อ้อ ที่บริเวณสลัดบาร์นี้จะมีลูกชิ้นและไข่ที่ใช้กินกับชาบูด้วย มีหลายชนิดเลย โดยผมเองได้ลองทาน 2-3 อย่าง รสชาติก็อยู่ในระดับกลางๆ ครับ










ต่อกันที่หมวดที่ 5 ติ่มซำ หมวดนี้มีรายการอาหารน้อยมาก แค่ 4 อย่างเท่านั้น น้อยจนถ้าใครไม่ตั้งใจสังเกตก็จะไม่เห็นเลย เพราะตำแหน่งที่วางก็ไม่ได้เด่นอะไร สำหรับหมวดนี้ผมให้รสชาติอยู่ในระดับกลางๆ โดยในส่วนของซาลาเปาทำได้ดี ลูกไม่ใหญ่เกินไป ไส้ลาวาครีมอร่อย แต่ขนมจีบยังไม่ถูกปากเท่าไหร่ แป้งหนาและโดยส่วนตัวแล้วผมชอบรสชาติขนมจีบที่ 7-11 มากกว่า @[email protected]



หมวดที่ 6 กลุ่มของทานเล่น หมวดนี้ผมว่ามีอาหารให้เลือกเยอะดีนะครับ น่าจะเกิน 15 รายการได้ โดยวิธีการสั่งก็แค่เอาป้าย Order Card ของเราไปวางที่หน้าป้ายเมนูนั้นๆ ครับ เดี๋ยวซักพักพนักงานก็จะนำอาหารมาเสิร์ฟให้เราที่โต๊ะ
สำหรับหมวดนี้ผมได้ลองทานแค่หอยเชลล์ไดนาไมท์กับเทมปุระเท่านั้น รสชาติโอเคทั้งคู่โดยเฉพาะหอยเชลล์ไดนาไมท์ หอยสด มีขนาดใหญ่ดี ใครที่สนใจทานอาหารประเภทนี้ก็ลองเดินสำรวจรายชื่ออาหารดูก่อนว่าอยากกินอะไรบ้าง เช่น ปลาไข่ชิชาโมะย่าง, ยากิโซบะ, เกี๊ยวซ่า, ทาโกะยากิ, เทมปุระ, เบคอนพันเห็ดเข็มทอง จากนั้นก็เหลือพื้นที่กระเพาะไว้รองรับเมนูเหล่านั้นครับ




หมวดที่ 7 เครื่องดื่ม ดูพวกของคาวกันมาเยอะแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาของเครื่องดื่มและของหวานกันแล้ว ซึ่งเครื่องดื่มของที่ Kitsune นั้นมีให้เราเลือกทานเกือบ 10 ประเภทเลย โดยจะแบ่งออกเป็น 2 โซน ดังนี้
โซนแรกคือโซนเครื่องดื่มหลัก โซนนี้จะมีน้ำให้เลือกเยอะทั้งน้ำอัดลม EST และน้ำหวานอย่างอัญชันฮันนี่เลมอน, พั้นช์, ชาเขียวมะลิ, ชามะนาว, โอเขียนบลู และน้ำเปล่า โดยโซนนี้จะมีน้ำแข็งให้เราตักด้วยครับ ส่วนโซนที่สอง จะอยู่บริเวณของหวานของ HiroKeki โดยจะมีชานมเย็นและชาเผือกพร้อมไข่มุกให้เราทาน



สำหรับในเรื่องของเครื่องดื่มนั้นสิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ก็คือลักษณะของแก้วเค้าครับ แก้วเครื่องดื่มของ Kitsune จะเป็นแก้วพลาสติกขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็น 2 ช่องซ้ายขวา ทำให้เราสามารถกินน้ำ 2 ชนิดในแก้วเดียวได้ โดยแก้วนี้เราจะได้รับตอนที่พนักงานพาเรามาที่โต๊ะตอนแรก เราจะต้องใช้มันจนจบการทานอาหาร และไม่สามารถนำแก้วนี้ออกจากร้านครับ
ส่วนในเรื่องของรสชาติของเครื่องดื่มนั้นในกลุ่มประเภทน้ำหวานอย่างอัญชันฮันนี่เลมอน, พั้นช์, ชาเขียวมะลิ, ชามะนาว และโอเขียนบลูนั้นอยู่ในเกณฑ์ดี รสชาติไม่หวานจนเกินไป แต่ส่วนที่เป็นชานมเย็นและชาเผือกนั้น ผมไม่ประทับใจเท่าไหร่ ตัวเครื่องดื่มรสชาติพอได้ แต่ไข่มุกที่ใส่ในแก้วนี่เลวร้ายมาก ทั้งแข็งทั้งไม่สุก ผมกับภรรยาลองทาน 2-3 แก้วก็เจอเหมือนกัน ก็เลยขอบายไม่ทานอีกเลย T_T
ต่อกันที่หมวดของหวานจากร้าน HeroKeki ที่หมวดนี้จะมีของหวานให้เลือกทานเยอะมาก ตั้งแต่ช็อคโกแลตฟาวเทน จนไปถึงวาฟเฟิล, เครป และน้ำแข็งไส โดยการสั่งวาฟเฟิล, เครปและน้ำแข็งไสนั้น เราจะต้องกรอกจำนวนที่ต้องการลงในใบ order โดยบางรายการเราสามารถเลือกสั่งขนาดครึ่งชิ้นได้ ส่วนเมนูอื่นๆ ที่เหลือก็สามารถเดินตัก เดินหยิบเองได้หมดครับ
สำหรับมื้อนี้ผมกับต๋งได้ลองทานของหวานอยู่ประมาณ 5-6 อย่าง รสชาติอยู่ในเกณฑ์ดีหลายรายการเลย เช่น บราวนี่ที่เนื้อแน่น รสชาติดี, Thai Tea Cheese Cake Kakikori (น้ำแข็งไสชาเย็น) ที่น้ำแข็งนุ่ม รสขาติของชาเย็นก็เข้มพอเหมาะ รวมไปถึง Cheesecake ในถ้วยก็นุ่มดี เนื้อฟูเหมือนขนมปัง ส่วนเมนู Coco Banana Waffle นั้นเป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ ตัวแป้งแข็งและไม่ค่อยมีรสชาติเลย T_T











ก็เอาเป็นว่าใครที่ดูหน้าตารูปของหวานที่ผมถ่ายมาแล้วอยากกินรายการไหน ก็เผื่อท้องไว้ด้วยนะครับ อย่าซัดของคาวจนอิ่มเกินไปแบบเราทั้งคู่ บอกตรงๆ ของหวานหลายๆ รายการของเค้าก็ดูน่ากิน น่าลองมาก โดยเฉพาะช็อคโกแลตฟาวเทนที่มีเครื่องให้เลือกจิ้มเยอะดี
และแล้วก็มาถึงหมวดสุดท้าย ไอศกรีมจาก ifresh วันที่ผมไปนั้นมีทั้งหมด 5 รส แต่ด้วยความที่ผมกับต๋งอิ่มมากก็เลยตักมาชิมแค่ 3 รส ซึ่งรสชาติใช้ได้ เหมาะแก่การกินปิดท้ายมื้อได้เป็นอย่างดีเลย
เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็พาทุกคนไปรู้จักกับอาหารต่างๆ ภายในร้าน Kitsune Shabu Sushi Buffet เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปผมจะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องสำคัญที่สุดนั่นก็คือราคาครับ!! โดยราคาของการทานอาหารที่ร้าน Kitsune นั้นจะตามนี้เลย
ชาบูและซูชิ : 699 บาท/ท่าน (ราคาเงินสดและยังไม่รวม Vat 7%)
ปิ้งย่าง, ชาบู และซูชิ : 749 บาท/ท่าน (ราคาเงินสดและยังไม่รวม Vat 7%)
โดยหากใครต้องการจะชำระด้วยบัตรเครดิตก็บวกไปเพิ่ม 20 บาท/ท่านครับ
หมายเหตุ : ทางร้านระบุว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาโปรโมชั่นเท่านั้น โดยราคาปกติจะต้องบวกเพิ่มอีก 50 บาท/ท่าน ทั้งการทานชาบูและปิ้งย่าง ดังนั้นหากหมดโปรโมชั่นแล้วราคาก็จะขยับเป็น 749 และ 799 บาท/ท่าน (ยังไม่รวม Vat 7%)
เอาล่ะครับ รู้ข้อมูลทุกอย่างของร้านกันไปหมดแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาไปอ่านบทสรุปของร้าน Kitsune Shabu Sushi Buffet ในความคิดของผมกันดีกว่าครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2560
ช่วงเวลา : 11.45 – 13.45 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : มื้อนี้เป็นมื้อที่ผมตั้งความหวังไว้สูงมาก เพราะเห็นรีวิวจากหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสไปทานแล้วให้ความเห็นไปในทางเดียวกันคือดี แต่จากที่ผมกับต๋งได้ไปลองทานก็พบว่ารสชาติอาหารส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยถูกปากเราทั้งคู่เลยครับ จะมีที่รู้สึกว่าดีหน่อยก็คือแซลมอนซาชิมิ แล้วก็ของหวานอีก 2-3 รายการ ที่เหลืออยู่ในเกณฑ์ธรรมดาจนถึงไม่ประทับใจมาก อย่างเช่น เทปันยากิที่เหนียวและแข็งมาก, ไข่มุกในชานมที่แข็งและไม่สุก ส่วนบรรดาเนื้อและหมูนั้นถึงแม้ว่าลายจะสวยดีแต่ด้วยความที่ชิ้นเนื้อหนาไปหน่อยทำให้เราทั้งคู่ไม่ค่อยชอบครับ
ความหลากหลายของอาหาร : นี่น่าจะเป็นจุดเด่นที่สุดของร้านนี้เลย เมนูอาหารเยอะมาก ซึ่งถ้าตามที่ทางร้านบอกไว้คือมากกว่า 200 รายการ เรียกว่าต้องมากันซัก 20 คนถึงจะกินครบทุกเมนูเลยครับ หากใครมาน้อย มาครั้งแรกนี่ควรต้องเลือกแล้วเลือกอีกว่าอยากจะกินอะไรมากที่สุด เพราะไม่มีทางที่เราจะชิมได้หมดทุกเมนูได้เลย
ความสะอาดของร้าน : ในเรื่องความสะอาดนั้นผมไม่ติดอะไรครับ ร้านสะอาดสะอ้านและในเรื่องของการเคลียร์โต๊ะก็ทำได้ดี แต่จุดที่ผมไม่ค่อยชอบก็คือระบบการระบายอากาศของทางร้านที่ไม่ดีเท่าที่ควร ควันจากหม้อลอยตลบอยู่ในร้านเยอะมาก และหลายๆ ครั้งควันก็พุ่งเข้าหน้าอย่างต่อเนื่อง จุดนี้เป็นจุดที่ผมอยากให้ทางร้านปรับปรุงมากที่สุดเลยครับ
การบริการของพนักงาน : ดีครับ เก็บจานต่างๆ รวดเร็ว รวมทั้งเวลาขอความช่วยเหลืออะไรก็ไม่ได้รอนานจนเกินไป
ความสะดวกของการเดินทาง : The Crystal SB ราชพฤกษ์ เป็นห้างที่ผมว่าไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถเลย เพราะตัวห้างอยู่ห่างจากตัวเมือง ไม่มี MRT หรือ BTS ผ่าน นอกจากนี้รถขนส่งสาธาณะอื่นๆ ก็มีน้อยมาก ดังนั้นใครจะมาที่นี่ก็คงต้องมีรถส่วนตัวไม่ก็ Taxi ล่ะครับ หรือไม่ก็คงต้องรอลุ้นให้ทาง Kitsune เค้าเปิดสาขาอื่นเพิ่มในอนาคต
ความคุ้มค่า : ด้วยราคาโปรโมชั่นสำรับการทานชาบูและชูชินั้นอยู่ที่ 748 บาท/ท่าน (ราคารวม Vat 7% แล้ว) ก็ถือว่าเป็นราคาที่สูงพอควร และแม้ว่าทางร้านจะมีเมนูอาหารให้เลือกเยอะมากมาย แต่อาหารที่รสชาติโดนใจผมกับต๋งก็มีน้อยเหลือเกิน ยิ่งถ้าในอนาคตทางร้านมีการปรับราคาขึ้นอีก 50 บาท/ท่าน ร้านนี้คงไม่ใช่ตัวเลือกแรกของเราในการทานอาหารประเภทนี้ครับ
สรุป : สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านอาหารที่มีความหลากหลายของอาหารไม่ว่าจะเป็นชาบู, ปิ้งย่าง, ซูชิ, ซาชิมิ, เทปันยากิ, สลัด หรือของหวาน ร้านนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ เพราะเมนูอาหารที่ร้านเยอะมาก รวมทั้งยังเป็นหม้อแยกและมีเวลาให้ทานถึง 2 ชั่วโมงด้วยกัน แต่สำหรับท่านใดที่เน้นอยากจะทานอาหารอร่อยๆ และนั่งเม้าท์กับเพื่อนเป็นโต๊ะยาวๆ ร้านนี้น่าจะไม่เหมาะ เนื่องจากรสชาติอาหารส่วนใหญ่อยู่ในระดับกลางๆ ส่วนในเรื่องของโต๊ะนั้นก็เป็นโต๊ะที่ติดตั้งตายตัว มีหม้อ fix ไว้แล้ว ทำให้ไม่สามารถนั่งรวมกันเป็นหมู่คณะใหญ่ได้ นอกจากนี้สำหรับใครที่ให้ความสำคัญในเรื่องของควันและกลิ่นเป็นอย่างมาก ก็ควรจะพิจารณาให้ดีก่อนเข้าร้านครับ เพราะผมว่าระบบการระบายควันของเค้ายังไม่ดีเท่าที่ควร ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ สำหรับท่านใดที่อยากจะดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับร้านนี้ก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ ส่วนท่านใดที่อยากจะพูดคุยเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลย แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
Fanpage : Kitsune Shabu Sushi Buffet
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป
Facebook Comments