สวัสดีครับ เนื่องจากในช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปทำธุระที่เชียงใหม่อยู่นานพอดู ก็เลยทำให้ผมได้มีโอกาสไปกินอาหารอร่อยๆ ไปลองพักที่โรงแรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยพักมาก่อนอยู่หลายที่เลยครับ ถ้ายังไงผมจะทยอยนำรีวิวมาฝากกันเรื่อยๆ นะครับ บางรีวิวก็จะเป็น SR บางรีวิวก็จะเป็น CR นะครับ ถ้าชอบไม่ชอบยังไง หรือสงสัยอะไรก็สามารถสอบถามพูดคุยเพิ่มเติมกันได้เลยครับ
มาเริ่มกันที่โรงแรมแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปพักก่อนดีกว่าครับ กับโรงแรมดุสิต ปริ้นเซส เชียงใหม่ ครับ (Dusit Princess Chiangmai) ต้องบอกว่าที่ผ่านมานั้นถึงผมจะเคยไปใช้บริการโรงแรมในเครือดุสิตอยู่บ้าง แต่ก็จะเป็นในส่วนของการกินข้าว จัดเลี้ยง หรือไปร่วมงานต่างๆ เท่านั้น แต่ในส่วนของการเข้าพักนั้นผมยังไม่เคยมีโอกาสใช้บริการมาก่อนเลยครับ เรียกได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก ครั้งเปิดซิงของผมกับดุสิตเลยครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
Dusit Princess Chingmai เป็นโรงแรมขนาดกลางๆ มีจำนวนห้องทั้งหมด 198 ห้อง และมีทำเลที่ถือว่าดีมากๆ เลยครับ เพราะตั้งอยู่ที่ Night Bazaar เลย ซึ่งทำเลแบบนี้น่าจะเหมาะกับบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติหรือนักธุรกิจต่างถิ่นที่ตอนกลางวันมีกิจกรรมแน่นเอี๊ยด และต้องการเวลาในช่วงกลางคืนพักผ่อน เดินชอปปิ้งซื้อของฝาก โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆ ครับ
สำหรับหน้าตาของโรงแรมก็ประมาณนี้เลยครับ จะมีจุดจอดรถรับส่งแขกที่ด้านหน้าโรงแรมที่ถือว่ากว้างขวางพอควร สามารถจอดรถได้ 2-3 คันพร้อมๆ กัน และจะมีพนักงานของโรงแรมคอยดูแล คอยให้บริการอย่างรวดเร็วและดีมากๆ ครับ ดีขนาดที่พี่สาวผมคนนึงที่มารับส่งผมที่โรงแรมถึงกับตกใจและเอ่ยปากชมเลยว่าเค้าบริการเยี่ยมจริงๆ
สำหรับใครที่เดินทางมาจากสนามบินเชียงใหม่แบบผมก็สามารถเรียก Taxi ของสนามบินมาส่งที่โรงแรมได้เลยครับ ในราคา 160 บาท/คน (นั่งได้ไม่เกิน 4 คน) และใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาทีครับ
เมื่อลงจากรถและเดินเข้าสู่บริเวณ lobby ของโรงแรมแล้ว สิ่งที่ทำให้รู้สึกได้เลยถึงความเป็นโรงแรมในเครือดุสิตก็คือการที่มีศิลปะหรือการตกแต่งแบบไทยๆ เข้ามาปนอยู่ โดยที่เชียงใหม่นี้ก็จะเป็นศิลปะไทยที่มีความเป็นล้านนาเข้ามาผสมด้วย เริ่มตั้งแต่รูปปั้นสิงห์ที่อยู่หน้าประตู 2 ตัว และก็บริเวณโถงทางเดินที่มีตุงสวยๆ ห้อยลงมาจากเพดานครับ
นอกจากนี้บริเวณ lobby ยังได้มีการจัดวางเก้าอี้ให้นั่งพักผ่อนหรือนนั่งรอเพื่อนไว้เยอะมากเลยครับ บรรยากาศน่านั่งมาก มีหมอนสวยๆ วางประดับแล้วก็มีหนังสือให้อ่านเยอะแยะ ครอบคลุมหลายภาษาเลยทั้งไทย จีน และอังกฤษครับ
ส่วนใครที่นั่งรอเพื่อนแล้วหิว หรืออยากจะนั่งเม้าท์นานๆ ที่บริเวณแห่งนี้ยังมีร้าน Dusit Gourmet ที่ขายเครื่องดื่ม และเค้ก ด้วยนะครับ ดูจากหน้าตาเค้กในตู้แล้วผมว่าน่าจะรสชาติดีใช้ได้เลยครับ
หลังจากที่เราสำรวจ lobby เสร็จแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาไป Check in และก็สำรวจห้องกันดีกว่าครับ การ Check in ของที่นี่ทำได้รวดเร็ว และมีบริการที่ดีจากพนักงานมากครับ หลังจาก Check in เสร็จก็จะได้ Key card มาครับ ห้องที่ผมพักก็คือห้อง 318 ซึ่งเป็น Deluxe Room ครับ
ในบรรดาทั้งหมด 198 ห้องของ Dusit Princess Chingmai นั้น จะมีห้องทั้งหมด 6 ประเภทดังนี้ครับ
-
Superior Rooms ขนาดพื้นที่ 26 ตารางเมตร มีทั้งหมด 36 ห้อง
-
Deluxe Rooms ขนาดพื้นที่ 32 ตารางเมตร มีทั้งหมด 114 ห้อง
-
Executive Plus ขนาดพื้นที่ 32 ตารางเมตร มีทั้งหมด 32 ห้อง
-
Junior Suites ขนาดพื้นที่ 46 ตารางเมตร มีทั้งหมด 8 ห้อง
-
One-bedroom Suites ขนาดพื้นที่ 60 ตารางเมตร มีทั้งหมด 6 ห้อง
-
Two-bedroom Suites ขนาดพื้นที่ 100 ตารางเมตร มีทั้งหมด 2 ห้อง
สำหรับวันนี้นอกจากห้อง Deluxe Room ที่ผมพักแล้ว ผมจะพาทุกท่านไปดูห้อง Executive Plus และ One-bedroom Suites ด้วยครับ โดยเรามาเริ่มกันที่ห้อง Deluxe Room กันก่อนเลยครับ
เมื่อเราเปิดประตูห้อง Deluxe Room เข้าไปนั้น ลักษณะ Plan ห้องก็จะเหมือนกับโรงแรมทั่วๆ ไปครับ คือ มีตู้เสื้อผ้าอยู่ทางซ้ายมือ มีที่เสียบ Key card และห้องน้ำอยู่ทางด้านขวามือของเราครับ โดยที่เสียบ Key card นั้นจะมีปุ่มที่อยู่ด้านซ้ายอีก 2 ปุ่ม นั่นคือปุ่ม “ห้ามรบกวน (Do not disturb)” กับ “โปรดทำความสะอาดห้อง (Make up room)” ครับ เมื่อเรากดปุ่มตรงนี้ก็จะมีสัญลักษณ์ไฟไปปรากฏที่หน้าห้องเราครับ ซึ่งตรงนี้ผมค่อนข้างชอบมากนะครับ เพราะไม่ต้องเปิดประตูแล้วเอาป้ายไปแขวนที่ลูกบิดเหมือนหลายๆ ที่ครับ
สำหรับภาพห้องโดยทั่วๆ ไปก็ประมาณนี้ครับ โดยห้อง Type นี้จะมีเตียงทั้ง Double Bed (เดียงเดี่ยว) และก็แบบ Twin Bed (เตียงคู่) ครับ โดยห้องที่ผมพักจะเป็นแบบ Double bed ครับ
ภายในห้องก็จะมีอุปกรณ์พื้นฐานต่างๆ ครบครันทั้ง โซฟา, โต๊ะทำงาน, TV, ตู้เย็น, เครื่องทำน้ำร้อน, ชา-กาแฟ, ที่เปิดขวด, กระติกน้ำแข็ง, รองเท้าแตะ, ตู้เซฟ, ไฟฉาย แล้วก็ไดร์เป่าผมครับ โดยรองเท้าแตะ, ตู้เซฟ, ไฟฉาย แล้วก็ไดร์เป่าผมจะอยู่ในตู้เสื้อผ้านะครับ
ตัวรองเท้าแตะเป็นแบบบางๆ นะครับ เหมาะสำหรับใส่แค่ชั่วคราวเป็นรายวันเท่านั้นครับ สำหรับตู้เย็นจะอยู่ในตู้ใต้ TV ครับ ซึ่งในตู้นี้จะมีกระติกน้ำแข็งและที่เปิดขวดด้วยนะครับ
เรื่องเครื่องดื่มในห้อง ทางโรงแรมเตรียมน้ำเปล่าไว้ให้ทั้งหมด 3 ขวดครับ ถือว่าเยอะกว่าโรงแรมทั่วๆ ไป โดยขวดนึงจะอยู่ที่หัวเตียงและอีก 2 ขวดนั้นจะอยู่ที่โต๊ะทำงานปลายเตียง พร้อมกับถาดที่ใส่ชา-กาแฟ, แก้ว, เครื่องทำน้ำร้อนแล้วก็หนังสืออ่านเล่นครับ
ที่โต๊ะหัวเตียงด้านขวามือ จะมีสวิสซ์ไฟเอาไว้ควบคุมไฟในห้องครับ สะดวกและก็เลื่อนเก็บได้มิดชิดดีครับ ทั้งนี้ลักษณะไฟในห้องนี้จะไม่ได้สว่างจ้านะครับ จะเป็นแนวสว่างพอดีๆ ค่อนข้างไปทางมืดเล็กน้อยเพราะมีแสงไฟหลักคือแสงจากโคมไฟตามจุดต่างๆ เท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่าทางโรงแรมตั้งใจให้ Mood and tone ออกมาในลักษณะนี้ และเหมาะแก่การพักผ่อนเงียบๆ ครับ
เดี๋ยวก่อนที่จะไปดูห้องน้ำ ผมให้ดูภาพบรรยากาศในห้องอีกซัก 2-3 ภาพก่อนนะครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้เรามาดูห้องน้ำกันดีกว่าครับ ขนาดห้องน้ำของที่นี่ถือว่ากำลังพอดี ไม่แคบไม่กว้างเกินไป มีอุปกรณ์ให้ครบๆ ทั้งผ้าเช็ดตัว, ผ้าเช็ดหน้า, อุปกรณ์อาบน้ำ, โทรศัพท์, สายฉีดชำระครับ โดยห้องนี้จะไม่มีอ่างอาบน้ำนะครับ จะเป็นฝักบัวและมีฉากกระจกใสกั้นครับ
ตอนนี้ผมก็พาไปชมห้อง Deluxe ที่ผมพักเรียบร้อยแล้วครับ ห้องถัดไปที่ผมจะพาไปก็คือห้อง Executive Plus ครับ ห้องนี้จะมีขนาดพื้นที่ 32 ตารางเมตรเท่ากับห้องที่ผมพัก แต่การตกแต่งภายในห้องจะแตกต่างกันค่อนข้างมากเลยครับ
โดยเมื่อเราเปิดไปในห้องก็จะพบหน้าตาห้องแบบนี้ครับ ภาพรวมๆ ห้องจะดูโปร่ง สว่าง และก็สดใสกว่า Deluxe Room บริเวณเตียงนอนก็มีการใช้หมอนสีส้ม และผ้าที่มีสีสันเข้ามาตกแต่งทำให้ mood and tone ดูแตกต่างออกไปอีกแนวเลยครับ เรียกว่าใครที่ชอบห้องที่สว่างๆ หรือโทนสีสดใสน่าจะถูกใจห้องนี้ครับ
ในส่วนของโต๊ะทำงานจะถูกย้ายไปอยู่ใกล้กับหน้าต่างทำให้มีแสงสว่างมากขึ้น ส่วนโซฟาก็จะเป็นแบบสำหรับนั่งคนเดียว ตัวเดียว และมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของที่ด้านหน้าครับ
ส่วนห้องน้ำ โดยภาพรวมจะคล้ายๆ กับห้อง Deluxe เพียงแต่บริเวณอาบน้ำจะไม่มีกระจกกั้นและมีอ่างอาบน้ำมาใส่แทนครับ
สำหรับห้องสุดท้ายก็คือ One-bedroom Suites ครับ มีพื้นที่ 60 ตารางเมตร โดยห้องจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกที่เปิดประตูเข้าไปเจอก็คือส่วนห้องนั่งเล่นที่มีหน้าตาแบบนี้ครับ มีครบทั้งโซฟาสำหรับนั่งดู TV, โต๊ะกลมสำหรับทานข้าวที่นั่งได้ 4 คน แล้วก็โต๊ะทำงานบริเวณริมหน้าต่างครับ
บริเวณข้างๆ ประตูทางเข้า จะมีตู้เย็น, ตู้เก็บของพร้อมกระจกบานใหญ่ๆ ครับ
ด้านซ้ายมือของห้องนั่งเล่นจะมีประตูที่เชื่อมต่อไปยังห้องนอน โดยภายในห้องนอนจะมีเตียง, ตู้เสื้อผ้า, ห้องน้ำ แล้วก็ที่นั่งเก๋ๆ สไตล์ไทยๆ สำหรับนั่งดู TV ครับ
ในส่วนของบริเวณตู้เสื้อผ้านั้น จะมีเก้าอี้ให้นั่งและก็บริเวณให้แต่งตัวด้วยครับ โดยในตู้เสื้อผ้าของห้องนี้นั้นมีการใส่อุปกรณ์ต่างๆ ไว้ครบครับมาก ตั้งแต่ตู้เซฟ, ร่ม, เตารีด, โต๊ะรีดผ้า, ไดร์เป่าผม, รองเท้าแตะ, ไม้ใส่รองเท้าแล้วก็อุปกรณ์ที่ดึงฝุ่นออกจากเสื้อผ้าครับ จัดมาให้เต็มมากๆ ครับ เรียกว่าเหมาะกับผู้บริหารหรือครอบครัวที่ต้องการความเนี้ยบเลยครับ
สำหรับห้องน้ำของห้องนี้นั้น โดยส่วนตัวผมคิดว่าแคบไปหน่อยครับ เปิดประตูไปแล้วรู้สึกติดๆ ขัดๆ เล็กน้อย โดยในห้องนี้จะมีอ่างอาบน้ำให้ด้วยนะครับ
เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็ดูห้องไปครบทั้ง 3 ห้องแล้วครับ ต่อไปผมจะพาไปดูสระว่ายน้ำแล้วก็บริเวณหน้าโรงแรมกันครับ
สำหรับสระว่ายน้ำของ Dusit Princess Chiangmai จะอยู่ที่ชั้น 2 ครับ เปิดให้บริการถึง 19.00 น. ขนาดของสระไม่ใหญ่มากครับ มีความยาวประมาณ 15 เมตร มีเก้าอี้ชายหาดพร้อมร่มอยู่รอบๆ และบริเวณสระว่ายน้ำจะมีทางเดินขึ้นไปยังสวนเล็กๆ ให้พอนั่งพักผ่อนได้ครับ
ส่วนบริเวณหน้าโรงแรมนั้นจะมีเก้าอี้เล็กๆ ให้นั่งเล่นได้ โดยช่วงค่ำๆ จะมีร้านขายเครื่องดื่มมาตั้งอยู่ใกล้ๆ ด้วยครับ ผมเห็นแขกที่พักหลายๆ คนก็มานั่งชมบรรยากาศยามค่ำคืนกันบริเวณนี้ครับ
บริเวณตรงข้ามและข้างๆ ของโรงแรมก็มีร้านอาหารเยอะแยะมากมายไม่ว่าจะเป็น Mcdonald, Subway, 7-11, Starbucks, Haagen-Dazs, Burger King และก็อื่นๆ อีกมายมายเลยครับ เรียกได้ว่าถ้ามาพักที่นี้ไม่มีปัญหาในเรื่องการหาอะไรทานแน่นอนครับ
ในช่วงกลางวัน ร้านค้าเหล่านี้อาจจะดูเงียบๆ ไม่ครึกครื้นเท่าไหร่ แต่พอตกค่ำที่พ่อค้าแม่ค้าเริ่มออกมาตั้งแผง ตั้งร้านขายของกันแล้วล่ะก็ บรรยากาศจะเปลี่ยนไปมากเลยครับ เพราะที่นี่แทบจะเป็บใจกลาง Night Bazaar เลยครับ มีร้านค้ามาขายของมากมายและหลายชนิดเลยครับ
ดูห้องกันไปแล้ว ดูบริเวณรอบๆ ไปหมดแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่อาหารเช้าเป็นอย่างสุดท้ายแล้วครับ สำหรับอาหารเช้านั้นจะทานกันที่ห้องอาหาร Jasmine บริเวณชั้น 2 ของโรงแรมครับ ไลน์อาหารเปิดตั้งแต่ 6.00 น. จนถึง 10.30 น. เลยครับ เปิดยาวมากๆ เลย
จำนวนโต๊ะโดยรวมเท่าที่ผมลองนับด้วยสายตาก็น่าจะสามารถรองรับแขกได้ประมาณ 120 คนครับ บรรยากาศโดยรวมดูสะอาดสะอ้าน มีการตกแต่งด้วยโทนสีส้มทำให้ดูสดใสดีครับ
ไลน์อาหารจะมีการวางยาวเป็นตัว L มีอาหารที่หลากหลายมากเลยครับตั้งแต่ ข้าวต้ม, โจ๊ก, เกาเหลา, ก๋วยเตี๋ยว, เบคอน, ไส้กรอก, แฮม, ขนมปัง+แยม, สลัด, เนยแข็ง (Cheddar Cheese), ข้าวผัด, ผัดซีอิ๊ว, อาหารคาว 3-4 อย่าง, ไข่ต่างๆ, คอนเฟล็ก, เบเกอรี่, โยเกิร์ต, ผลไม้, ฟรุ๊ตสลัด แล้วก็ชา-กาแฟครับ
สิ่งที่ผมค่อนข้างประทับใจของห้องอาหารที่นี่คือ จะมีป้ายกำกับบอกไว้เป็นภาพอย่างชัดเจนด้วยว่าอันไหนเป็นหมูครับ
ในส่วนของรสชาติอาหารนั้นโดยรวมๆ อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ครับ สอบผ่านในแง่ของอาหารเช้าแต่ก็ไม่ได้มีเมนูอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าอร่อยมาก ประทับใจเป็นพิเศษครับ โดยที่ผมประทับใจมากที่สุดก็คงจะเป็นเกาเหลามั้งครับ ผมว่าเค้าทำชามเล็กกำลังดี กลิ่นหอม และลูกชิ้นอร่อยถูกปากครับ
สลัดผักของที่นี่มีน้ำสลัดให้เลือก 3 แบบ คือ ใส, ฝรั่งเศส และ Thousand Island ครับ คุณภาพผักถือว่าสดดีครับ
ส่วน Station ไข่ต่างๆ นั้น มีเมนูให้เลือกสั่งได้เยอะเลยครับ โดยจะมีป้ายบอกไว้แบบนี้ครับ ตัวผมเองเลือกสั่งออมเล็ตกับวอฟเฟิลครับ
ส่วนของนมที่ใส่คอนเฟล็กนั้น ถือว่าทางโรงแรมใส่ใจดีมากเลยครับ เพราะมีให้เลือกทั้งนมธรรมดาและนมไขมันต่ำครับ ส่วนตัวโยเกิร์ตจะเป็นของดัชชี่ครับ แต่เป็นถ้วยขนาดเล็กนะครับ
สำหรับเครื่องดื่มนั้นจะมีทั้งหมด 3 ชนิด คือ น้ำสับปะรด, น้ำมะเขือเทศ และน้ำส้มครับ รสชาติดีครับ ส่วนผลไม้สดก็มีทั้งสับปะรด, แตงโม, มะละกอ, แคนตาลูป และเมล่อน ซึ่งถือว่ามีให้เลือกหลายชนิดดีครับ
ครับ ตอนนี้ผมก็พาทุกท่านไปรู้จักกับ Dusit Princess Chiangmai แทบจะครบทุกมุมแล้ว หลังจากนี้ก็ได้เวลาสรุปข้อมูลทั้งหมดกันแล้วล่ะครับ โดยผมขอแยกหัวข้อในการสรุปเป็นดังนี้นะครับ
การออกแบบ : ด้วยความที่เป็นโรงแรมที่มีอายุพอควร ประกอบกับ Mood and tone ของเครือดุสิตก็ออกสไตล์ผู้ใหญ่ ดูสุขุม นุ่มลึกอยู่แล้ว ทำให้รูปแบบห้องและการตกแต่งต่างๆ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว้าวหรือทันสมัยแต่อย่างใด ออกเป็นแนวเรียบๆ ธรรมดา นิ่งๆ ครับ ยกเว้นห้อง Executive Plus กับบริเวณ lobby ชั้น 1 ที่ผมรู้สึกถึงความแตกต่างและประทับใจที่สุดครับ ดังนั้นโดยรวมๆ โรงแรมแห่งนี้จึงอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับเด็กวัยรุ่นหรือวัยเริ่มต้นทำงานซักเท่าไหร่นะครับ เพราะผมว่าคนกลุ่มนี้น่าจะต้องการอะไรที่ว้าว แปลกใหม่ หรือแตกต่างจากทั่วๆ ไปครับ
ความสะอาด : เป็นโรงแรมที่สะอาดและดูดีเลยครับ ทั้งความสะอาดส่วนกลางและในห้องนอนครับ
สิ่งอำนวยความสะดวก : ถือว่ามีครบเพียงพอต่อการใช้งานเลยครับ หลายๆ อย่างให้มามากกว่าที่อื่นด้วยไม่ว่าจะเป็นไฟฉาย รองเท้า กระติกใส่น้ำแข็ง และโดยเฉพาะห้อง One-bedroom Suites ที่ให้มาครบมากๆ ครับ นอกจากนี้ในโรงแรมยังมีสระว่ายน้ำ และร้านกาแฟบริเวณล็อบบี้อีกด้วยครับ สำหรับเรื่อง Wifi นั้นทางโรงแรมก็มีให้ทุกห้อง และจากที่ผมได้ลองเล่นดูตลอดเวลาที่เดินถ่ายภาพจุดต่างๆ ของโรงแรมก็พบว่าสัญญาณ Wifi ถือว่าดีมาก เสถียรและก็เร็วครับ ส่วนเรื่องลิฟท์นั้นที่โรงแรมแห่งนี้มีลิฟท์ทั้งหมด 2 ตัว ขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ใช้เวลาในการรอไม่นานเพราะด้วยจำนวนห้องพักที่ไม่มากครับ
การเดินทาง : Dusit Princess Chiangmai เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เดินทางสะดวกมากเพราะอยู่บริเวณ Night Bazaar เลย ทำให้คนที่ไม่มีรถอย่างผมสามารถเดินทางได้สะดวกไม่ว่าจะด้วยรถ Taxi จากสนามบินหรือรถแดง เพราะเป็นเส้นทางที่คนขับรถเหล่านี้รู้จักดีอยู่แล้วครับ
การนอนหลับพักผ่อน : ในเรื่องของเตียง หมอน ความนุ่ม ความเย็นของแอร์ ผ้าห่ม ถือว่าสอบผ่านครับไม่ติดปัญหาอะไร ผมกับภรรยานอนหลับสนิทดีครับ
อาหารเช้า : อาหารเช้าของที่นี่ถือว่าเยอะ มีหลากหลายชนิดมากครับ ที่สำคัญเปิดบริการให้ทานนานถึง 4 ชั่วโมงครึ่งเลยครับ ในส่วนของรสชาติก็ถือว่าสอบผ่าน ไม่ได้มีประเด็นอะไรที่ต้องติ แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นประทับใจในเมนูไหนมากเป็นพิเศษชนิดถึงขั้นที่ต้องห้ามพลาดนะครับ
การบริการของพนักงาน : ในส่วนนี้น่าจะถือว่าเป็นส่วนที่ดีที่สุดของโรงแรมแห่งนี้เลยครับ การบริการของพนักงานทุกคนตั้งแต่พนักงานที่บริเวณรับส่งแขกที่หน้าโรงแรม ไปจนถึงพนักงานที่ lobby และส่วนต่างๆ นั้น ถือว่าดีมากครับ พูดสุดภาพ หน้าตายิ้มแย้ม และเต็มใจช่วยเหลือมากครับ เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อเสียงโรงแรมในเครือนี้จริงๆ ครับ เป็นอะไรที่ผมประทับใจมากๆ ครับ
สรุป : Dusit Princess Chiangmai ถือเป็นอีก 1 โรงแรมที่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการที่พักในเชียงใหม่แบบที่มีพนักงานบริการดีๆ เดินทางสะดวก โดยเฉพาะชาวต่างชาติเพราะทำเลอยู่ที่ Night Bazaar แหล่งชอปปิ้ง แหล่งขายของที่ชาวต่างชาติชอบมาเดินเล่นครับ นอกจากนี้จากโรงแรมยังสามารถเดินไปยังกาดวโรรสแหล่งขายอาหารเหนือสุดอร่อยอย่างเช่น แคบหมู, ไส้อั่ว, น้ำพริกหนุ่ม, หมูทอด, ข้าวเหนียว ได้อย่างสบายๆ ด้วยครับ โดยผมกับภรรยาได้ทดลองเดินไปในตอนเช้าก็พบว่าไม่ยากและใช้เวลาแค่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเองครับ นอกจากนี้ทางโรงแรมยังมีห้องถึง 6 แบบให้เลือกตามความต้องการของแต่ละคน ส่วนในเรื่องของความคุ้มค่าของห้องพัก Deluxe ที่ผมได้พักนั้น ผมได้ลองเข้าไปเช็คราคาห้องพักของผมในวันที่ผมไปที่ Agoda และก็พบว่าราคาห้องถูกกว่าที่ผมคิดไว้พอควรเลยครับ ดังนั้นหากใครมี Plan ที่จะไปเชียงใหม่ และคิดว่าทำเลของที่นี่น่าสนใจ ก็ลองเข้าไปเปรียบเทียบราคาดูนะครับว่าน่าสนใจหรือเปล่าครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของโรงแรมแห่งนี้เพิ่มเติมหรือจองที่พักราคาพิเศษ สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ
ในส่วนของโต๊ะทำงานจะถูกย้ายไปอยู่ใกล้กับหน้าต่างทำให้มีแสงสว่างมากขึ้น ส่วนโซฟาก็จะเป็นแบบสำหรับนั่งคนเดียว ตัวเดียว และมีโต๊ะเล็กๆ สำหรับวางของที่ด้านหน้าครับ
