หากพูดถึงการไปทานชายามบ่ายหรือ Afternoon Tea แล้ว โรงแรม The Okura Prestige Bangkok (ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ) น่าจะเป็นโรงแรมที่ผมไปทานบ่อยที่สุดแล้วครับ เพราะที่นี่เค้าขยันเปลี่ยนธีมทุกๆ 3 เดือน ทำให้มีชุด Afternoon Tea ใหม่ๆ ออกมาให้ลิ้มลองรสชาติกันอยู่เสมอ และในรีวิวนี้ทุกคนจะได้พบกับชุดชายามบ่ายหรือ Afternoon Tea Set ที่ชื่อว่า Sakura Blossom 2019 โดยชุด Afternoon Tea ชุดนี้จะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ห้องอาหาร Up & Above Bar ชั้น 24 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – วันที่ 30 มิถุนายน 2562 ครับ
และสำหรับใครที่รู้สึกคุ้นๆ กับชื่อชุด Afternoon Tea ชุดนี้ก็ไม่ต้องแปลกใจไปนะครับ เพราะชื่อชุด Sakura Blossom นั้น ทาง The Okura Prestige Bangkok มักจะนำมาจำหน่ายในช่วงนี้เหมือนๆ กันทุกปี โดยตัวผมเองนั้นก็เคยได้มีโอกาสทานมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2017 และปี 2018 โดยทุกท่านสามารถอ่านรีวิวเดิมย้อนหลังได้ตามลิงก์ด้านล่างนี้เลยครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
และสำหรับท่านใดที่แอบคิดว่าทางโรงแรมจัดเป็นธีมเดิมซ้ำๆ เหมือนกันทุกปีแบบนี้ หน้าตาขนมและรสชาติมันจะเหมือนกันมั้ย ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนครับ เพราะแม้ชุด Afternoon Tea Sakura Blossom นี้จะมีการจำหน่ายในทุกๆ ปี และมีโทนของชุดเป็นสีชมพูคล้ายๆ กัน แต่ในแต่ละปีนั้นทางเชฟจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาขนมรวมทั้งรสชาติต่างๆ ให้ไม่เหมือนเดิมครับ ยิ่งสำหรับชุดปี 2019 นี้ยิ่งเป็นอะไรที่ผมรู้สึกเลยว่ามันแตกต่างไปจากเดิมมากทั้งในเรื่องรสชาติและปริมาณของขนมที่ได้รับครับ ดังนั้นใครที่อยากจะจิบชายามบ่ายดีๆ พร้อมขนมอร่อยๆ หน้าตาน่ารักๆ ก็ตามผมไปอ่านกันต่อได้เลยครับ ^^
สำหรับชุด Afternoon Tea Sakura Blossom 2019 นี้ ทางโรงแรม The Okura Prestige Bangkok จะจำหน่ายในราคาชุดละ 1,290 ++ บาท หรือประมาณ 1,519 บาทนะครับ โดยราคานี้เราจะได้รับขนมคาวหวาน 1 เซ็ตพร้อมกับเครื่องดื่มอีก 2 ชนิด และหากใครที่ไม่ชอบทานชาหรือกาแฟ ทางห้องอาหารก็ได้มีการจัดเซ็ตราคา 1,750 ++ บาท และ 2,750 ++ บาท ที่มีการเสิร์ฟเป็น Sparking Sake, Prosecco และ Champagne ไว้บริการด้วย ใครที่สนใจชุดพิเศษเหล่านี้ก็ลองสอบถามทางพนักงานดูนะครับ
หรือถ้าใครที่ไม่ชอบทานอะไรที่เป็นโทนสีชมพูหรือรสชาติขนมแบบตามที่ผมได้เขียนไว่ในรีวิวนี้ ทาง The Okura Prestige Bangkok ก็ได้มีการจัดเป็นชุด The Okura Afternoon Tea Delight ไว้บริการด้วยครับ โดยชุด Afternoon Tea ชุดนี้ทางโรงแรมเค้าจะมีบริการตลอดทั้งปีเลย รวมทั้งหน้าตาของขนมก็จะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ส่วนในเรื่องของราคานั้นก็จะอยู่ที่ 1,290 ++ บาทต่อชุด เหมือนกับเซ็ต Sakura Blossom ครับ ใครชอบทานขนมแนวไหนมากกว่าก็ลองตัดสินใจเลือกดูนะครับ โดยทางพนักงานเค้าจะมีรายละเอียดของขนมแต่ละชนิดให้เราดูที่ห้องอาหารก่อนที่เราจะเลือกสั่ง
หมายเหตุ : สำหรับท่านใดที่มีบัตร One Harmony จะได้รับสิทธิ์ในการทานชุด Afternoon Tea ชุดต่างๆ ในราคาพิเศษลด 10-15% นะครับ ส่วนใครที่มีบัตร The Prestige Card ก็จะได้รับส่วนลด 30% ซึ่งผมแนะนำเลยว่าให้ทุกคนที่ไปทานนั้นสมัครบัตร One Harmony กันให้หมด เพราะบัตรนี้สามารถสมัครได้ฟรีแถมยังสามารถใช้สิทธิ์รับส่วนลดได้ทันทีด้วย บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะเราจะได้ลดราคาไปชุดละประมาณ 150-200 บาทเลยครับ
และด้วยความที่ผมได้เคยมีการเขียนถึงบรรยากาศของห้องอาหาร Up & Above Bar และเรื่องของการเดินทางมาที่โรงแรมแห่งนี้ในรีวิวที่ผ่านมาเยอะแล้ว ดังนั้นในรีวิวนี้ผมจึงขอข้ามในส่วนนี้ไปเลยนะครับ ส่วนใครที่ไม่เคยไปที่โรงแรมแห่งนี้มาก่อนก็ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ นั่ง BTS มาลงที่สถานีสถานีเพลินจิต จากนั้นก็เดินออกที่ทางออก 2 แล้วเดินต่อประมาณ 50 เมตรก็จะถึงโรงแรมแล้วครับ ส่วนถ้าใครขับรถมาก็สามารถจอดรถที่บริเวณชั้นใต้ดินของตึก Park Ventures Ecoplex ได้เลย เค้ามีที่จอดรถเยอะพอควรครับ
และนี่คือหน้าตาของชุด Afternoon Tea Sakura Blossom 2019 ครับ โดยถ้าใครที่ไปทาน Afternoon Tea ที่โรงแรมแห่งนี้อยู่บ่อยๆ ก็จะพอทราบว่าโดยปกติแล้วขนมในเซ็ตจะมีอยู่ 11 รายการ รวมทั้งหมด 22 ชิ้น และจะมีราคาต่อเซ็ตอยู่ที่ 1,190 ++ บาท แต่มาปีนี้ทางโรงแรมได้มีการปรับราคาขึ้น 100 ++ บาท/เซ็ต และเพิ่มจำนวนขนมเป็น 13 รายการ รวมทั้งหมด 26 ชิ้น ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการที่ได้ขนมเพิ่มมา 4 ชิ้น และต้องจ่ายเงินเพิ่มประมาณ 100 บาทนิดๆ แบบนี้มันเป็นอะไรที่คุ้มมากนะครับ ที่สำคัญมันทำให้เรากับเพื่อนทานเซ็ตนี้ได้อิ่มพอดีๆ ด้วย ^^
สำหรับขนมทั้ง 26 ชิ้นในเซ็ตนี้จะถูกแบ่งออกเป็นจานร้อน 2 ชิ้น (1 รายการ), ของคาว 8 ชิ้น (4 รายการ), ของหวาน 14 ชิ้น (7 รายการ) และ Special Menu 2 ชิ้น (1 รายการ) โดยขนมส่วนใหญ่จะถูกนำมาเสิร์ฟในภาชนะพิเศษของทางโรงแรมที่เป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่มีลักษณะคล้ายกับโต๊ะขนาดเล็กและมีลิ้นชักทั้ง 2 ด้าน ส่วนขนมบางรายการที่มีความพิเศษกว่าปีที่ผ่านๆ มาจะถูกนำมาเสิร์ฟแยกต่างหากทีหลังครับ
เรามาเริ่มไล่รสชาติอาหารแต่ละรายการกันเลยนะครับ โดยผมจะขอเริ่มจากเมนูจานร้อน (Served Warm) ซึ่งเป็นเมนูที่เพิ่มมาใหม่ในปีนี้ก่อน โดยเมนูนี้จะชื่อว่า Poached Egg with Truffle and Potato Espuma in Glass หรือถ้าจะแปลง่ายๆ ก็คือไข่ลวกในเนื้อโฟมทรัฟเฟิลและมันฝรั่งบดครับ เมนูนี้ทางเชฟจะนำมาเสิร์ฟแยกต่างหากในภาชนะที่เป็นแก้วขนาดพอดีมือ  โดยแรกสัมผัสนั้นเราจะรู้สึกถึงความอุ่นของไข่ที่อยู่ด้านในแก้วเลยครับ ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นถือว่าอร่อยมาก โดยเฉพาะเนื้อโฟมด้านบนนั้นมีกลิ่นและรสชาติของเห็ดทรัฟเฟิลพอควรเลย ใครที่เป็นคนชอบอาหารคาวแบบจานร้อนน่าจะถูกใจกับเมนูนี้ครับ และเมนูนี้เป็นเมนูที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกคนลองชิมเป็นอันดับแรกๆ ก่อนที่จะเริ่มไปชิมอย่างอื่นนะครับ เพราะถ้าเราวางทิ้งไว้นานหรือมาชิมทีหลังของหวาน รสชาติของมันจะตกลงไปจากเดิมครับ
มาต่อกันที่ของคาว 4 รายการครับ ตามปกติแล้วทาง The Okura Prestige Bangkok มักจะวางขนมประเภทเดียวกันไว้ในลิ้นชักเดียวกัน รวมทั้งหน้าตาขนมในลิ้นชักทั้งสองด้านจะไม่เหมือนกัน แต่รอบนี้ทางเชฟเค้าจัดใหม่โดยวางขนมในลิ้นชักซ้ายขวาเหมือนกันเลย โดยลิ้นชักแต่ละด้านจะมีขนมประเภทละ 1 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งการจัดวางแบบนี้ก็มีข้อดีสำหรับผู้ที่มาทานนั่นก็คือเราสามารถแบ่งด้านหยิบกับเพื่อนได้ง่ายๆ ไม่ต้องมาวุ่นวายหยิบขนมด้านเดียวกันครับ
และนี่คือรสชาติของของคาวตามความเห็นของผมกับเพื่อนครับ
  1. Smoked Ham and Karashi Sandwich with Smoked Pickle หรือแซนวิชแฮมกับแตงกวา เมนูนี้เป็นแซนวิชที่แปลกมากและผมต้องขอเตือนทุกคนเลยนะครับว่าใครที่ไม่ทานเผ็ดควรหลีกเลี่ยงหรือแจ้งทางพนักงานไว้ก่อน เพราะภายในแซนวิชนี้เค้าจะมีการใส่ Karashi หรือมัสตาร์ดญี่ปุ่นที่มีความเผ็ดและฉุนมากลงไปด้วย เรียกว่ากัดไปคำแรกนี่รู้เรื่องเลย ปรี้ดขึ้นจมูกทันที ถือว่าเป็นแซนวิชที่มีความแปลกแหวกแนวมากๆ และสำหรับใครที่ชอบทานพวกมัสตาร์ดกับวาซาบิอย่แล้วต้องชอบแน่ๆ เพราะมันจี๊ดถึงใจจริงๆ
  2. Egg and Basil Salad Sandwich with Fried Quail Egg หรือแซนวิชไส้สลัดโหระพาที่มีท็อปปิ้งเป็นไข่นกกระทาทอด รสชาติโดยรวมดี นุ่มละมุน สามารถทานได้เรื่อยๆ ครับ
  3. Cold Water Shrimp and Apple Salad Choux ขนมที่มีสลัดกุ้งและแอปเปิ้ลเป็นส่วนประกอบ รสชาติกลางๆ มีความมันของน้ำสลัดนิดๆ ส่วนแอปเปิ้ลสับชิ้นเล็กที่อยู่ข้างในนั้นมีความกรุบกรอบดี ถือเป็นขนมที่มีรสชาติไม่หวือหวา สามารถทานได้เรื่อยๆ สบายๆ ครับ
  4. Traditional Cucumber Sandwich หรือแซนวิชแตงกวา สำหรับรายการนี้รสชาติผมให้อยู่ในระดับกลางๆ ครับ เป็นแซนวิชที่มีความหนาไม่มากและมีท็อปปิ้งเป็นแตงกวา โดยแตงกวาที่อยู่ด้านบนนั้นมีปริมาณที่ถือว่าค่อนข้างเยอะเลย ดังนั้นใครที่ไม่ค่อยชอบทานแตงกวาคงจะไม่ถูกใจซักเท่าไหร่ นอกจากนี้ในแซนวิชก็ยังมีการทามัสตาร์ดญี่ปุ่นไว้แบบบางๆ ด้วย แต่ในเรื่องของความฉุนและความเผ็ดนั้นจะไม่เท่ากับรายการแรกครับ รวมๆ แล้วเมนูนี้เป็นอะไรที่ผมประทับใจน้อยที่สุดในบรรดาของคาว 4 รายการครับ
หมายเหตุ : สำหรับใครที่คิดว่ามีปัญหาในการทานมัสตาร์ดญี่ปุ่นที่อยู่ในแซนวิชรายการที่ 1 และรายการที่ 4 สามารถแจ้งทางพนักงานได้นะครับว่าให้ทาบางๆ หรือไม่ต้องทาเลย แต่ถ้าใครที่สามารถทานได้ผมแนะนำให้ลองทานดูครับ มันแปลกแต่ลงตัว และมีความจี๊ดดีครับ
มาดูกันที่ของหวาน 7 รายการกันบ้างครับ โดยของหวานทั้งหมดจะถูกวางไว้ด้านบนของภาชนะที่เสิร์ฟ ยกเว้นแยมและ Cottage Cream ของสโคนที่จะถูกนำมาเสิร์ฟแยกต่างหาก ส่วนในเรื่องรสชาติของขนมแต่ละรายการก็ตามนี้เลยครับ
  1. Sakura Mont Blanc เค้กสีชมพูที่มีท็อปปิ้งด้านบนเป็นไวท์ช็อคโกแลตสีชมพู ดูมุ้งมิ้งน่ารักมากมาย ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นก็ทำออกมาได้ดีเหมือนกับหน้าตา เนื้อเค้กแน่น เนื้อเนียน และมีความหวานนิดๆ กินกับชาลงตัวมากครับ
  2. Sakura Chocolate Praline ช็อคโกแลตพลารีนหรือช็อคโกแลตที่มีการสอดไส้ตรงกลาง โดยทางเชฟได้มีการสอดไส้ช็อคโกแลตสีชมพูด้วยส้มยูซุ ส่วนท็อปปิ้งด้านบนก็มีการติดดอกซากุระเล็กๆ ไว้ รสชาติโดยรวมดีเลยครับ อร่อยถูกปากผมกับเพื่อน ส่วนไส้ที่สอดไว้ด้านในนั้นก็ทำออกมาได้ดี ไม่มีความขมของเปลือกส้มเลย
  3. Choux Cream Cherry Blossom หรือชูครีมซากุระ ขนาดของชิ้นไม่ใหญ่มากนักแต่เนื้อครีมด้านในนั้นเยอะแน่นแบบเต็มปากเต็มคำ ใครที่ชอบทานชูครีมไส้อร่อยๆ น่าจะถูกใจครับ
  4. White Peach & Lychee Verrine เมนูนี้จะเป็นขนมที่มีส่วนผสมของพีชกับลิ้นจี่ครับ รสชาติโดยรวมอร่อยดี แต่ในเรื่องรสชาติของลิ้นจี่กับพีชนั้นจะไม่ได้เข้มหรือเด่นมากนะครับ จะเป็นรสชาติอ่อนๆ เท่านั้น โดยเมนูนี้เป็นเมนูที่ผมชอบเป็นอันดับต้นๆ ของของหวานในชุด Sakura Blossom 2019 นี้เลยครับ
  5. Lychee & Peach Cheese Cake ชีสเค้กที่มีส่วนผสมของพีชกับลิ้นจี่ รสชาติโดยรวมค่อนข้างคล้ายกับเมนูชูครีมก่อนหน้านี้มากแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในส่วนเรื่องของพีชกับลิ้นจี่ก็คล้ายๆ เดิมครับ เป็นพีชกับลิ้นจี่อ่อนๆ ไม่ได้มีความโดดเด่นหรือรสชาติสะดุดลิ้นมากเท่าไหร่
  6. Cherry Blossom Macaron หรือซากุระมาการองที่มีหน้าตาน่ารักชวนรับประทานมากๆ ความหวานอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้หวานจนแสบลิ้น ส่วนไส้ที่สอดมาตรงกลางนั้นบอกตรงๆ ว่าผมกับเพื่อนเดาไม่ถูกจริงๆ ว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง รู้แต่ว่าเป็นผลไม้เท่านั้นครับ @_@
  7. Pickled Sakura Scones หรือสโคนซากุระ สโคนสีชมพูที่ด้านบนมีการท็อปปิ้งด้วยดอกซากุระที่ความหนึบ เคี้ยวแล้วเพลินมาก ส่วนเนื้อของสโคนนั้นมีความเนียนและแน่นดี ใครที่ชอบทานคู่กับ Cottage Cream หรือแยมต่างๆ ก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเลยครับ อร่อยกันคนละแบบ ทานกับ Cottage Cream ก็จะมันๆ นิดๆ ส่วนทานกับแยมก็จะมีรสชาติหวานตามประเภทของแยม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบทานคู่กับแยมสตรอเบอร์รี่และแยมราสเบอร์รี่มากที่สุดครับ
และหลังจากที่เราทาน Afternoon Tea Set Sakura Blossom 2019 เซ็ตนี้จนเกือบหมด ทางพนักงานก็จะนำเมนูสุดพิเศษ หรือ Special Menu นี้มาเสิร์ฟให้เราทานครับ และนี่ถือเป็นหนึ่งในการ Surprise ที่สร้างความประทับใจได้ดีมากๆ เลย โดยเมนูนี้จะเป็นซอร์เบตพีชที่มีความอร่อยลงตัวมาก ส่วนวานิลลาครัมเบิ้ลด้านล่างก็มีความกรุบกรอบโดนใจ ยังไงใครที่ได้มีโอกาสไปทาน Afternoon Tea เซ็ตนี้ก็อย่าลืมเผื่อท้องไว้ชิมเมนูนี้ด้วยนะครับ เพราะถ้าพลาดไปเสียดายแย่เลย ><
ดูเรื่องของคาวของหวานกันในเซ็ตกันไปครบแล้ว ถ้าไม่พูดถึงเรื่องชากับเครื่องดื่มมันก็คงไม่ใช่การกิน Afternoon Tea เนอะ สำหรับการทาน Afternoon Tea Set Sakura Blossom 2019 ของโรงแรม The Okura Prestige Bangkok ในราคา 1,290 ++ บาท นั้น เราจะได้รับเครื่องดื่มทั้งหมด 2 ชนิดครับ โดยเค้าจะมีให้เราเลือกทานหลายอย่างเลยทั้งชาของ Mariage Frères (มาคิยาจ แฟรส์), ชาของ Saro Royal Lotus (ซาโร รอยัล โลตัส) รวมไปถึงกาแฟของ illy (อิลลี่) ที่สามารถเสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและเย็น แล้วก็พวกช็อกโกแลตเย็น, ชาเย็นแบบไทยและเครื่องดื่มต่างๆ ครับ นอกจากนี้หากใครที่อยากจะทานเป็น Sparking Sake, Prosecco และ Champagne ก็สามารถทานได้เช่นกัน เพียงแต่การเลือกทานเครื่องดื่ม 3 ชนิดหลังนี้เราจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
สำหรับชาที่ถือเป็นชาพิเศษและเหมาะสำหรับการทานคู่กับ Afternoon Tea เซ็ตนี้มากที่สุดก็คือชา Sakura Sakura! ของ Mariage Frères ครับ โดยนี่จะเป็นชาพิเศษที่จะมีขายเฉพาะช่วงนี้ของปีเท่านั้น หากใครพลาดไปต้องรอกินอีกทีปีหน้าเลย ลักษณะของชาจะมีความหอมและหวานนิดๆ รวมทั้งยังได้กลิ่นของซากุระจางๆ ด้วย แต่ด้วยความที่ผมเคยทานชานี้เมื่อปีที่ผ่านมาแล้วดังนั้นปีนี้ผมก็เลยเลือกทานเป็น Blanc & Rose ซึ่งเป็นชาขาว (White Tea) ของ Mariage Frères แทน โดยชา Blanc & Rose นั้นจะเป็นชาอ่อนๆ ที่มีความขมเล็กๆ ตรงปลายลิ้น รวมทั้งมีความหอมนิดๆ ในขณะที่เรายกชาขึ้นมาจิบครับ ถือว่าเป็นชาอีกหนึ่งชนิดที่ผมทานแล้วชอบ รวมทั้งเหมาะกับการทานขนมเซ็ตนี้เช่นเดียวกันครับ
ส่วนเพื่อนของผมนั้นเค้าเลือกทานเป็น Jasmine Lotus Green Tea ของ Saro Royal Lotus Tea รสชาติของชาดี มีความหอมอ่อนๆ และให้ความรู้สึกว่ามีน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบด้วยครับ ใครที่ได้มีโอกาสไปทานก็ค่อยๆ เลือกดูนะครับว่าอยากจะทานชาลักษณะไหน หากใครงงๆ หรือตัดสินใจไม่ถูกก็ลองถามข้อมูลกับทางพนักงานห้องอาหารเพิ่มเติมก็ได้ครับ
หรือถ้าใครไม่ชอบทานชากับเครื่องดื่มต่างๆ ที่ผมพูดมาก็สามารถสั่งเป็นเครื่องดื่มพิเศษที่มีเฉพาะช่วงนี้อย่าง Ratchaburi Mango (ราชบุรีแมงโก้), Miss Nakornprathom (มิสนครปฐม), Queen of Lychee (ควีน ออฟ ลิ้นจี่) และ Pomegranate Soda (ทับทิมโซดา) แทนก็ได้ครับ เครื่องดื่มเหล่านี้จะมีทั้งที่เป็น Mocktail และ Cocktail รวมทั้งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนที่ไหนๆ เลย อย่างเช่น Ratchaburi Mango ก็จะเป็นเครื่องดื่มที่ใช้มะม่วงอกร่องจากอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มาคั้นเป็นน้ำจากนั้นก็นำไปผสมกับน้ำมะมาว น้ำมะตูม ฮาวานา รัม (Havana Rum) และมาลิบู (Malibu) จนได้เป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยวและมีการตกแต่งด้วยเยลลี่เสาวรสมะม่วงครับ ส่วน Miss Nakornprathom ก็จะเป็นการเลือกใช้ส้มโอพันธุ์ขาวน้ำผึ้งที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนครปฐมมาคั้นเป็นน้ำแล้วผสมกับน้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำเชื่อมกลิ่นใบเตย ไข่ขาวและไวน์แดงชีราซ (Red Wine Shiraz) จนได้เป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติเข้มข้นและมีความหอมหวานของส้มโอเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งมีการท็อปปิ้งด้านบนด้วยรังผึ้งที่มีความละมุนลิ้น และในส่วนของ Queen of Lychee นั้นก็จะเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำลิ้นจี่ น้ำมะนาว จิน มาตินี่ และแยมผิวส้ม จากนั้นก็ท็อปปิ้งด้วยผลลิ้นจี่สดพันธุ์ค่อมหอมลำเจียกที่สุดแสนอร่อยครับ
ใครที่สนใจเมนูเครื่องดื่มเหล่านี้ก็ลองสอบถามพนักงานและสั่งมาชิมได้นะครับ เค้าจะเปิดจำหน่ายเครื่องดื่มพิเศษนี้ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 62 เท่านั้น โดยเมนูเครื่องดื่มเหล่านี้เราสามารถที่จะสั่งมาทานตอนไหนก็ได้ตั้งแต่เวลา 7.00 น. จนถึง 24.00 น. และไม่จำเป็นต้องสั่งคู่กับ Afternoon Tea Set ส่วนราคานั้นจะเริ่มต้นอยู่ที่แก้วละ 290 ++ บาท ครับ
และทั้งหมดนี้ก็คือประสบการณ์ของผมกับเพื่อนหลังจากที่ได้มีโอกาสไปลองทานชุดชายามบ่าย Afternoon Tea Set Sakura Blossom 2019 ของห้องอาหาร Up & Above Bar โรงแรม The Okura Prestige Bangkok (ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพ) ครับ และเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้นผมก็ขอสรุปเป็นหัวข้อต่างๆ ตามนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันพฤหัสที่ 21 มีนาคม 2562
เวลา : 13.30 – 15.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : ในเรื่องรสชาตินั้นผมก็ยังคงต้องบอกว่า Afternoon Tea ของที่นี่ ยังคงเป็น Afternoon Tea ที่มีรสชาติถูกปากผมเหมือนเช่นเคยครับ โดยในเรื่องของชานั้นเราไม่ต้องพูดถึงเลยเนื่องจากเค้าใช้ชาที่ดีและมีคุณภาพมากๆ ส่วนในเรื่องของขนมนั้นในปีนี้ทาง The Okura Prestige Bangkok ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรสชาติไปจากเดิมเยอะมาก มีการใส่พีชและลิ้นจี่เข้ามาผสม แล้วก็มีการเอา Karashi หรือมัสตาร์ดญี่ปุ่นเข้ามาประกอบด้วย ซึ่ง Karashi นี่แหละครับถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมทานแล้วประทับใจขนมในเซ็ตนี้มาก รสชาติมันแตกต่างแปลกแหวกแนวกับหลายๆ ที่เลย แต่ทั้งนี้สำหรับใครที่ไม่ชอบทานมัสตาร์ด, วาซาบิ หรืออะไรเผ็ดๆ ก็คงจะไม่ประทับใจ 2 เมนูที่มี Karashi เป็นส่วนประกอบซักเท่าไหร่ครับ
ความหลากหลายของอาหาร : ด้วยจำนวนของขนมทั้งหมด 13 รายการ รวม 26 ชิ้น และมีการเพิ่มทั้งเมนูจานร้อนกับ Special Menu ปิดท้ายเซ็ตเข้ามา ทำให้ Afternoon Tea Set Sakura Blossom 2019 นี้ มีความหลากหลายของขนมมากกว่าหลายที่มาก เรียกว่าร้อน, หวาน, คาว, เย็น เบ็ดเสร็จในเซ็ตเดียวเลย น้อยครั้งมากที่จะเจอ Afternoon Tea Set ที่มีความหลากหลายแบบนี้ครับ
ความสะอาดของสถานที่ : ข้อนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ สถานที่โล่ง สบายตา สะอาดสะอ้าน เพดานสูง นั่งทานแล้วไม่รู้สึกอึดอัด สามารถนั่งเม้าท์มอยแล้วคุยกันได้ยาวๆ เลย
การบริการของพนักงาน : เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่มีปัญหาอะไรครับ พนักงานบริการรวดเร็วแล้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดี โดยจากการที่ผมได้เคยมาใช้บริการที่โรงแรมแห่งนี้หลายครั้ง ทั้งในฐานะที่ได้รับเชิญมาหรือไปใช้บริการเองโดยที่ทางโรงแรมไม่ทราบ ผมยังไม่เคยมีปัญหาอะไรกับการบริการของที่นี่เลยครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ในเรื่องของการเดินทางไปยังโรงแรม The Okura Prestige Bangkok นั้นก็ต้องถือว่าสะดวกในระดับนึงเลยครับ โดยเฉพาะคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS เพราะโรงแรมนั้นอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิตมาก โดยหากใครที่เข้าทางตึก Park Ventures Ecoplex หรือทางออก 2 ก็จะมีทางเดินเชื่อมต่อจาก BTS เข้าไปที่ตึกได้เลย ส่วนใครที่มีแผนขับรถมาที่นี่นั้นก็อาจจะต้องดูเรื่องของเวลานิดนึงนะครับ เพราะแม้ตำแหน่งของโรงแรมจะหาได้ง่ายมาก แต่ด้วยความที่ถนนสุขุมวิทบริเวณหน้าโรงแรมนั้นเป็นถนนที่มีการจราจรติดขัดในหลายช่วงเวลา ดังนั้นเราก็ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางนิดนึงครับ
ความคุ้มค่า : ถึงแม้ว่าในปีนี้ Afternoon Tea Set ของโรงแรม The Okura Prestige Bangkok จะมีการปรับราคาขึ้นจากเดิมประมาณ 100 ++ บาท/เซ็ต แต่ทางโรงแรมเองก็ได้เพิ่มจำนวนขนมเข้ามา 2 รายการ รวมทั้งหมดเป็น 4 ชิ้น ทำให้ผมมองว่าความคุ้มค่าของการไปทานชุดชายามบ่ายของที่นี่ยังอยู่ในระดับที่เหมาะสมนะครับ เพราะชาและขนมของเค้านั้นดีจริง อร่อยถูกปากผมแทบจะทุกเซ็ตเลย และนอกจากนี้ปีนี้ผมยังได้รู้ด้วยว่าทางโรงแรมได้มีส่วนลด 10-30% ให้กับผู้ที่มีบัตร One Harmony กับบัตร The Prestige Card ด้วย ซึ่งผมว่ามันเป็นอะไรที่ดีและคุ้มค่ามากๆ โดยเฉพาะบัตร One Harmony ที่เราสามารถสมัครได้ฟรีและใช้สิทธิ์ส่วนลด 10-15% ได้ทันที โดยถ้าใครมีบัตรนี้ก็จะสามารถทาน Afternoon Tea เซ็ตนี้ในราคาประมาณชุดละประมาณ 1,300 – 1,370 บาทเท่านั้นเองครับ
สรุป : สำหรับใครที่ชื่นชอบการทาน Afternoon Tea, สามารถทานมัสตาร์ดญี่ปุ่นได้ และไม่มีปัญหากับการทานชุดชายามบ่ายในราคาชุดละประมาณ 1,300 – 1,500 บาท ชุด Afternoon Tea Set Sakura Blossom 2019 นี้จะเป็นอีกหนึ่งชุดที่คุณประทับใจครับ โดยนอกจากหน้าตาของขนมเค้าจะน่ารักมากๆ แล้ว รสชาติของขนมกับชาของเค้าก็ดีด้วย และที่พิเศษสุดๆ ของปีนี้ก็คือทางโรงแรมเค้าได้มีการเพิ่มจำนวนขนมเข้าไปอีก 2 รายการ ดังนั้นใครที่เป็นขาประจำของที่นี่และเริ่มรู้สึกว่าขนมแต่ละปีมันมีความคล้ายคลึงกันเกินไปหน่อย ชุด Sakura Blossom 2019 นี้จะทำให้คุณรู้สึกเปลี่ยนไปเลยครับ เพราะเค้ามีการปรับเปลี่ยนจากเดิมเยอะพอควรเลย ใครที่อ่านแล้วสนใจอยากจะไปลองทานก็อย่าลืมนะครับว่าเค้ามีให้บริการเซ็ตนี้ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 62 เท่านั้น และเพื่อความคุ้มค่าแบบสุดๆ อย่าลืมพกบัตรหรือทำการสมัครบัตร One Harmony หรือ The Prestige Card ด้วยนะคร้าบบบบบ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ และสำหรับใครที่ต้องการติดตามเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมอย่างใกล้ชิดก็สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ ได้เลยครับ ส่วนท่านใดที่อยากจะสอบถามข้อมูลของที่นี่เพิ่มเติมหรืออยากจะทำการสำรองโต๊ะก็สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้เลยครับ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
Facebook : The Okura Prestige Bangkok
Tel : 02-6879000
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้