สวัสดีทุกคนครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้” จะพาทุกคนไปรู้จักกับห้องอาหาร The Green House (เดอะ กรีนเฮ้าส์) โรงแรม Landmark Bangkok กันครับ โดยที่นี่มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายๆ อย่างดังนี้
-
เป็นห้องอาหารที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง
-
รสชาติอาหารดี และมีประเภทอาหารให้เลือกเยอะมาก ทั้งไทย, จีน และยุโรป
-
ทำเลที่ตั้งดี เพราะอยู่ติดกับถนนสุขุมวิท และห่างจาก BTS นานา ประมาณ 50 เมตรเท่านั้น
ซึ่งจากข้อดีทั้ง 3 ข้อด้านบนนั้น ผมคิดว่าน่าจะมีหลายคนถูกอกถูกใจมากแน่ๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องการหาอะไรอร่อยๆ ทานในช่วงดึก และหวังในเรื่องคุณภาพการบริการระดับโรงแรมครับ
สำหรับในเรื่องการเดินทางมายังห้องอาหาร The Green House นั้นก็ง่ายมาก เพราะห้องอาหารแห่งนี้จะอยู่ที่ด้านหน้าของโรงแรม Landmark Bangkok ติดกับถนนสุขุมวิทเลย ดังนั้นเพียงแค่เราลง BTS นานา ทางออก 2 แล้วเดินต่อประมาณ 50 เมตรก็จะถึงห้องอาหารแล้ว ส่วนใครที่ขับรถมาก็สามารถดูแผนที่ของโรงแรมตามรูปด้านล่างได้เลย
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ

ลักษณะของห้องอาหาร The Green House โรงแรมแลนด์มาร์คนั้น จะเป็นห้องอาหาร indoor ติดแอร์ทั้งหมด โดยมีพื้นที่ที่สามารถรองรับคนได้ประมาณ 100 คน แต่ถ้าหากใครที่ต้องการทานอาหารของห้องอาหารนี้แต่อยากจะนั่งชิวๆ ภายนอกอาคาร ก็สามารถไปนั่งที่ห้องอาหาร The Terrace แล้วสั่งอาหารจาก The Green House ไปทานก็ได้ครับ โดยลักษณะที่นั่งของห้องอาหาร The Terrace จะเป็นที่นั่ง outdoor อยู่นอกอาคาร ซึ่งช่วงหัวค่ำหรือวันไหนที่อากาศดีๆ ในตอนกลางวันก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่น่านั่งมากเลยครับ

คราวนี้เรามาดูเมนูอาหารของ The Green House กันดีกว่า เมนูอาหารของที่นี่จะมีหลายหน้ามาก เพราะมีการให้บริการทั้งอาหารไทย, จีน และยุโรป โดยแต่ละประเภทอาหารก็มีหลากหลายรายการให้เราเลือก ไม่ว่าจะเป็นติ่มซำ, บะหมี่, ข้าว, พิซซ่า, สลัด, สปาเกตตี้, เบอร์เกอร์, แซนวิช, ซุป และอื่นๆ อีกมากมาย
หมายเหตุ : ราคาอาหารในเมนู จะยังไม่รวม Service charge 10% และ Vat 7% นะครับ
สำหรับวันนี้ผมกับต๋งเลือกทานเป็นอาหารจีน เพราะเราทั้งสองคนได้ยินชื่อเสียงของโจ๊กแลนด์มาร์คมาซักพักแล้วว่ารสชาติดีมาก ดังนั้นเราก็เลยขอจัดอาหารจีนรายการอื่นๆ มาทานคู่กันเลย โดยเมนูที่พวกเราทานในวันนั้นก็ได้แก่
-
Rice noodle rolls filled with shrimp (ก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง) ราคา 250 บาท
-
Rice noodle rolls filled with Chinese dough (ก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋) ราคา 160 บาท
-
Steamed minced pork & shrimp dumplings (ขนมจีบหมู + กุ้ง) ราคา 120 บาท
-
Chinese bun filled with Barbecued pork (ซาลาเปาไส้หมูแดง) ราคา 120 บาท
-
Deep fried Chinese dough (ปาท่องโก๋) ราคา 130 บาท
-
Bake rice with abalone in a clay pot (ข้าวอบเป๋าฮื้อหม้อดิน) ราคา 590 บาท
-
Fried rice noodles with fish, Black beans and chilli (ราดหน้าปลาเต้าซี่) ราคา 260 บาท
-
Shrimp wontons with egg noodles (บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง) ราคา 240 บาท
-
Roasted crispy pork, Barbecued pork, Roasted duck (หมูแดง, หมูกรอบ, เป็ดย่าง) ราคา 690 บาท
-
The Landmark Congee (โจ๊กแลนด์มาร์คพิเศษ) ราคา 500 บาท
หลังจากที่อาหารทั้งหมดวางบนโต๊ะ เราทั้งสองคนก็แอบหันไปมองหน้ากันเบาๆ เพราะปริมาณมันเยอะมาก รายการอาหารรวมแล้ว 10 อย่าง แต่ละอย่างก็มีขนาดจานที่ไม่เล็กเลย เรียกว่าถ้ากินกันตามปกตินี่น่าจะสามารถกินกัน 4-5 คนได้เลย แต่นี่เรากินกันแค่ 2 คน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้ตัวแตกอีกแน่ๆ T_T

สำหรับมูลค่าอาหารของมื้อนี้หลังจากรวม Service charge 10% และ Vat 7% แล้วจะอยู่ที่ประมาณ 3,600 บาท ถ้ากินกัน 5 คน ก็จะเฉลี่ยอยู่ที่ 720 บาท/คน ซึ่งถือเป็นราคามาตรฐานของการกินอาหารในโรงแรม แต่ๆๆๆๆๆ สำหรับที่ Landmark นั้น เค้ามีไอเทมลับที่ชื่อว่า Club Landmark Card อยู่ครับ โดยใครที่มีบัตรนี้จะสามารถลดค่าอาหาร A la carte ในทุกห้องอาหารของโรงแรม Landmark Bangkok ได้สูงสุดถึง 50% เลย ส่วนพวกเครื่องดื่มและเบเกอรี่นั้นจะลดได้ 15-20% ดังนั้นถ้าผมกับต๋งใช้บัตร Club Landmark Card ราคาอาหารในมื้อนี้ก็จะเหลือแค่ 1,800 บาทเท่านั้นเองครับ
ใครที่สนใจบัตร Club Landmark Card นี้ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะครับ เค้ามีรายละเอียดของการใช้งานบอกไว้หมดแล้ว https://www.landmarkbangkok.com/club-landmark-membership
หมายเหตุ : ผมขออนุญาตเซนเซอร์ชื่อและหมายเลขบัตรของผมไว้นะครับ
รู้ชื่อเมนู รู้ราคาแล้ว คราวนี้เราไปดูรสชาติของอาหารแต่ละรายการกันดีกว่า เริ่มจากพวกของทานเล่นอย่างก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง, ก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋ และปาท่องโก๋
รสชาติของทั้ง 3 รายการนี้อยู่ในระดับกลางๆ โดยรายการที่เด่นที่สุดก็คือก๋วยเตี๋ยวหลอดกุ้ง กุ้งด้านในนั้นสดและตัวใหญ่ดี ส่วนก๋วยเตี๋ยวหลอดปาท่องโก๋นั้นได้ในความแปลกที่ไม่เคยเห็นที่ไหนทำมาก่อน แต่ก็เป็นเมนูที่ต้องรีบกินหน่อยนะครับ เพราะถ้าทิ้งไว้นานปาท่องโก๋จะนิ่มและไม่อร่อยเท่าตอนแรก

สำหรับเมนูปาท่องโก๋นั้น ทาง The Green House จะมีนมข้นหวานมาให้ด้วย แต่ถ้าใครไม่ชอบจิ้มกับนมก็สามารถนำไปกินกับโจ๊กก็ได้ ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนเลย
ต่อกันที่ขนมจีบกับซาลาเปาไส้หมูแดง โดยส่วนตัวแล้วผมกับต๋งชอบรสชาติของซาลาเปามากกว่า แป้งอร่อย ขนาดลูกกำลังเหมาะมือ ไม่เล็ก ไม่ใหญ่เกินไป และไส้ก็เยอะดีครับ ส่วนขนมจีบนั้นแม้จะมีหมูกับกุ้งมาเยอะ แต่รสชาติของแป้งด้านนอกยังไม่ค่อยถูกปากเราเท่าไหร่ครับ


ต่อกันที่อาหารจานหลัก โดยผมขอเริ่มที่เมนูที่ขึ้นชื่อที่สุดของเค้าก่อน The Landmark Congee (โจ๊กแลนด์มาร์คพิเศษ) เมนูนี้ทางห้องอาหารจะมาเสิร์ฟพร้อมกับขิงซอย, กระเทียมทอด และต้นหอม ใครชอบอะไรมากน้อยเท่าไหร่ก็ใส่เอาเองได้เลย
ในส่วนของรสชาตินั้นก็ต้องบอกว่าโจ๊กชามนี้อร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ เนื้อโจ๊กเนียนมาก ทานแล้วคล่องคอ ส่วนเนื้อที่ใส่มาในโจ๊กนั้นก็จัดเต็มเพราะมีทั้งหอยเชลล์, กุ้ง, เซี่ยงจี้, ตับ แล้วก็ไส้ โดยเนื้อแต่ละชิ้นก็มีขนาดใหญ่มาก เรียกว่าเป็นชามที่ครบเครื่องชามหนึ่งเลย ใครที่มาที่ห้องอาหารนี้ครั้งแรกควรจะต้องสั่งมาลองทานเพื่อลิ้มรสด้วยตัวเองว่าโจ๊กเนื้อเนียนที่ผ่านการเคี่ยวนานถึง 7 ชั่วโมงนั้นรสชาติจะเป็นอย่างไร!!




ต่อกันที่จานนี้ดีกว่า เป็ดย่าง, หมูแดง, หมูกรอบ การรวมกันของ 3 เมนูสุดอร่อย โดยรสชาติของแต่ละรายการนั้นถูกปากผมกับต๋งมาก เป็ดย่างเนื้อหนา นุ่ม และหนังกรอบกำลังดี เคี้ยวเพลินเลย ส่วนหมูแดงก็หอมนุ่ม และสุดท้ายหมูกรอบนั้นหนังก็กรอบสมชื่อ ในส่วนของเนื้อก็แน่นพอเหมาะ กินแล้วเพลินคีบแทบไม่หยุดเลย ดังนั้นจานนี้คืออีกหนึ่งเมนูที่เราอยากให้ทุกคนลองชิม โดยถ้าใครคิดว่าจานมันใหญ่เกินไปกลัวกินไม่หมด ก็อาจจะเลือกสั่งแยกเป็นหมูแดง, หมูกรอบ, เป็ดย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือไม่ก็สั่งเป็นจานแบบรวม 2 อย่างก็ได้ครับ ทางห้องอาหารเค้ามีบริการ ขนาดจานก็จะเล็กลงหน่อยรวมทั้งมีราคาที่ถูกกว่าด้วย




ต่อกันที่บะหมี่เกี๊ยวกุ้ง รายการนี้ทางห้องอาหารจะแยกน้ำซุปออกมาต่างหากนะครับ โดยในจานจะมีบะหมี่, เกี๊ยวกุ้ง แล้วก็ผัก ลักษณะของเส้นบะหมี่นั้นจะเป็นเส้นเล็ก ไม่เหนียว ไม่แฉะ ถือว่าทางเชฟปรุงมาได้ดี ส่วนเกี๊ยวกุ้งนั้นก็อร่อย เนื้อกุ้งสดเด้ง แต่ในด้านรสชาติโดยรวมหลังจากทานทั้งหมดด้วยกันแล้ว ผมว่าค่อนข้างจืดไปหน่อย ไม่ใช่บะหมี่สไตล์ที่ผมชอบ ดังนั้นผมก็เลยต้องใช้ตัวช่วยโดยการขอซอสหอยนางรม และใช้น้ำราดเป็ดจานเมื่อกี้มาราด ซึ่งก็ทำให้รสชาติถูกปากผมกับต๋งมากขึ้นครับ
ใครที่ได้มีโอกาสสั่งเมนูมาชิมแล้วรู้สึกเหมือนผม ก็ลองขอซอสหอยนางรมหรือน้ำราดเป็ดจากทางห้องอาหารดูนะครับ อาจจะทำให้ถูกปากมากขึ้น

เมนูถัดไปคือ ราดหน้าปลาเต้าซี่ ขนาดชามที่ได้ถือว่าใหญ่เลย นอกจากนี้เนื้อปลาที่ให้มาในชามก็สด แน่น ชิ้นใหญ่ แถมมีหลายชิ้นด้วย ส่วนในเรื่องรสชาตินั้นผมให้อยู่ในระดับกลางๆ เพราะมีอีกหลายเมนูในมื้อนี้ที่ผมรู้สึกประทับใจกว่าครับ

ปิดฉากกับอาหารจานสุดท้ายในมื้อนี้กันด้วย ข้าวอบเป๋าฮื้อหม้อดิน อีกหนึ่งในเมนูที่ผมชอบในรสชาติมาก ลักษณะของอาหารจานนี้จะเหมือนกับข้าวผัดในหม้อดินที่มีการราดซอสและใส่เป๋าฮื้อกับเห็ดลงไป ในส่วนของข้าวผัดนั้นผัดมาได้แห้งกำลังดี ทำให้เมื่อมารวมกับน้ำซอสที่ราดแล้วรู้สึกทานง่าย ไม่ฝืดคอ แต่ก็ไม่รู้สึกแฉะจนเกินไป ส่วนเห็ดและเป๋าฮื้อที่ราดมาด้านบนนั้นก็เยอะและรสชาติดีครับ
สรุปสำหรับจานนี้ ผมกับต๋งชอบและอยากแนะนำให้ลองทานกันครับ

ตอนนี้เราทั้งสองคนก็ชิมอาหารครบทั้ง 10 อย่างในมื้อนี้แล้วครับ ซึ่งโดยปกติแล้วในการทานอาหารมื้อต่างๆ เราจะพยายามเหลือท้องไว้ทานของหวานด้วย แต่สำหรับมื้อนี้พวกเราไม่สามารถจริงๆ ดังนั้นเราจะขอไปพูดเรื่องของเครื่องดื่มแทนนะครับ โดยเครื่องดื่มของห้องอาหาร The Green House โรงแรม Landmark Bangkok นั้น จะมีให้เลือกสั่งหลายรายการมาก เพราะด้วยความที่เป็นร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นก็เลยต้องมีให้เลือกครอบคลุมทุกอารมณ์ โดยในมื้อนี้ผมกับต๋งเลือกสั่งเป็นเก๊กฮวยเย็น refill และน้ำส้ม ซึ่งน้ำส้มของที่นี่จะเป็นน้ำส้มที่เย็นอยู่แล้ว ดังนั้นทางพนักงานก็จะมีการสอบถามเราว่าจะให้เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็ง หรือจะเสิร์ฟเป็นน้ำส้มเปล่าๆ เลย
สำหรับราคาของเก๊กฮวย Refill นั้นจะอยู่ที่ 140 บาท ส่วนน้ำส้มจะอยู่ที่แก้วละ 190 บาทครับ
เอาล่ะครับมาถึงช่วงท้ายของรีวิวนี้กันแล้ว เราไปอ่านบทสรุปของห้องอาหาร The Green House โรงแรมแลนมาร์ค กรุงเทพ ในความคิดผมกันได้เลย
วันที่รับประทาน : วันเสาร์ที่ 6 มกราคม 2561
ช่วงเวลา : 10.00 – 13.00 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : รสชาติอาหารส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีแทบทั้งหมดเลย โดยมีเมนูที่ผมประทับใจมากที่สุดคือ โจ๊กแลนด์มาร์คพิเศษ, หมูแดง หมูกรอบ เป็ดย่าง แล้วก็ข้าวอบเป๋าฮื้อหม้อดิน ทั้งสามรายการนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับคนที่พึ่งมาทานอาหารที่นี่เป็นครั้งแรกครับ ส่วนเมนูที่เราถูกปากน้อยที่สุดก็คือบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะคุ้นชินกับการกินบะหมี่ที่มีน้ำเป็ดหรือซอสหวานๆ ราดด้านบนมากกว่า
ความหลากหลายของอาหาร : ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงสำหรับเรื่องนี้เลย ด้วยความที่ห้องอาหารเปิดบริการ 24 ชั่วโมง และมีอาหารให้เลือกถึง 3 สไตล์หลักๆ ได้แก่ ไทย, จีน และยุโรป ดังนั้นเมนูอาหารจึงมีให้เราเลือกเยอะมาก มากจนไปทานเป็นเดือนยังไม่เบื่อ ไม่ซ้ำเลยครับ
ความสะอาดของร้าน : บริเวณต่างๆ ภายในห้องอาหารสะอาดสะอ้านดี และไม่ได้มีปัญหาอะไรในข้อนี้ครับ
การบริการของพนักงาน : บริการดี รวดเร็ว และการพูดจาต่างๆ สุภาพ โดยจากที่ผมได้มีการขออะไรเพิ่มเติมจากพนักงานหลายครั้งก็ได้รับการตอบสนองที่รวดเร็วครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : เป็นหนึ่งในห้องอาหารที่ผมคิดว่าเดินทางสะดวกดี เพราะที่ตั้งของโรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพ อยู่ห่างจากสถานี BTS นานา เพียงแค่ 50 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้บริเวณห้องอาหาร The Green Hosue ก็ตั้งอยู่ที่ชั้น G ด้านหน้าโรงแรม ติดกับถนนสุขุมวิทเลย ดังนั้นใครที่นั่งรถ BTS ไปก็จะสะดวกมาก ส่วนคนที่ขับรถมาทางโรงแรมก็มีที่จอดรถให้บริการเยอะ แต่ก็อาจจะต้องทำใจในเรื่องการจราจรหน่อยนะครับ โดยเฉพาะช่วงตอนเย็นหลังเลิกงาน
ความคุ้มค่า : รายการอาหารหลายๆ รายการมีรสชาติที่ดีถูกปากผมกับต๋งมาก รวมทั้งทางห้องอาหารก็เลือกใช้วัตถุดิบที่ดีในการปรุง แต่ในด้านราคาก็ต้องยอมรับว่าสูงตามคุณภาพที่ได้ รวมทั้งนี่ยังเป็นการทานอาหารในโรงแรมที่อยู่ในทำเลแบบนี้ด้วย ดังนั้นโดยส่วนตัวผมจึงมองว่าหากคนทั่วไปไปกิน ความคุ้มค่าน่าจะอยู่ในระดับกลางๆ แต่สำหรับคนที่มีบัตร Club Landmark Card ไปกินนั้น ความคุ้มค่าก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเลย เพราะบัตรนี้จะสามารถลดราคาอาหารได้สูงถึง 50% ดังนั้นใครอยากคุ้ม ใครอยากลอง ก็ลองถามคนใกล้ตัวดูว่ามีบัตรนี้หรือเปล่า จากนั้นก็ชวนเค้าไปชิมอาหารกันนะครับ ><
สรุป : สำหรับใครที่กำลังหามองหาร้านอาหารอร่อยๆ ที่เปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีการเดินทางที่สะดวกทั้งเรื่องใกล้ BTS, อยู่ติดถนนใหญ่, มีที่จอดรถเยอะ และมีอาหารให้เลือกหลากหลาย ห้องอาหาร The Green House โรงแรมแลนด์มาร์ค กรุงเทพ ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีมากบนถนนสุขุมวิทครับ อาหารหลายเมนูของเค้ารสชาติดีมากจนควรลองซักครั้ง ส่วนในเรื่องของความคุ้มค่านั้น แนะนำว่าถ้ามีบัตร Club Landmark Card ติดมือไปด้วย มันจะช่วยให้คุณสบายกระเป๋าไปได้เยอะเลย ส่วนถ้าใครไม่มีก็ลองสอบถามเรื่องโปรโมชั่นบัตรเครดิตอื่นๆ กับทางห้องอาหารดูนะครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับใครที่อยากจะดูบรรยากาศของการรีวิวอาหารครั้งนี้ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวก็สามารถกดดูที่คลิปด้านล่างได้เลย หรือใครที่อยากจะสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับห้องอาหารแห่งนี้ก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่อที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้ครับ
Fanpage : The Landmark Hotel Bangkok
Tel : 02-2540404
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ ทั้งนี้ทุกท่านสามารถเข้าไปพบปะพูดคุยเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป
Facebook Comments