หนึ่งในประเภทอาหารที่ผมชอบทานมากแต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสทานซักเท่าไหร่นั่นก็คืออาหารเวียดนามครับ เพราะเป็นประเภทอาหารที่ผมแอบคิดเอาเองในใจว่ามันดูผักๆ คลีนๆ ดี น่าจะเหมาะกับการดูแลสุขภาพของเราครับ…..ฮา แต่ทั้งนี้การที่จะหาร้านอาหารเวียดนามอร่อยๆ ถูกปากได้นี่มันก็ช่างหาได้ยากซะเหลือเกิน @[email protected] จนกระทั่งผมได้มารู้จักห้องอาหารเวียดนามแห่งนี้ครับ ห้องอาหาร Thien Duong (เธียนดอง) ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เอาล่ะครับ……ถ้าพร้อมแล้วเราไปลุยพร้อมๆ กันเลยครับ
วันที่รับประทาน : ศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2559
ช่วงเวลา : 12.00-14.30 น.
จำนวน : 2 คน
ห้องอาหารเธียนดอง ตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ชั้นบนของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ครับ ซึ่งการเดินทางมาโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่ยากเพราะสามารถมาได้จากหลากหลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นทางถนนพระราม 4 หรือถนนสีลม และหากคนที่ใช้บริการรถ BTS กับ MRT ก็สามารถที่จะเดินมาจากสถานีทั้งสองได้เลยครับ ระยะทางไม่ไกลมากครับ โดยเมื่อเรามาถึงที่โรงแรมแล้วก็ให้เราเดินขึ้นไป 1 ชั้นเพื่อไปยังชั้นล็อบบี้ จากนั้นก็จะเห็นห้องอาหารหน้าตาแบบนี้อยู่ครับ
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
จากในรูปด้านบนเราจะเห็นเมนูที่ถูกวางไว้ที่หน้าห้องอาหารครับ ซึ่งก็มีหลากหลายรายการเลย และในช่วงที่ผมไปนั้นทางห้องอาหารยังได้มีการจัดโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มอีกด้วยครับ นั่นก็คือ “อิ่มอร่อยกับเมนูสุขภาพ เฝอ (Pho Phenomenal) ” ครับ ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีเฝอหลากหลายรายการมาก และแต่ละรายการก็ดูน่าสนใจทั้งนั้น โดยเฉพาะเจ้าเฝอเส้นเล็กแห้งผัดมันกุ้งพร้อมทั้งกุ้ง, ปลา, หอยครับ หรือก็คือเจ้าเมนูที่อยู่ในรูปนี่แหละครับ
*สำหรับเทศกาลอิ่มอร่อยกับเมนูสุขภาพเฝอนั้น จะหมดเขตวันสุดท้ายคือวันที่ 31 ส.ค. 59 นะครับ ดังนั้นใครที่สนใจอาจจะต้องรีบเคลียร์คิวตัวเองหน่อยนะครับ ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะหมดเขตซะก่อนครับ ^^
หลังจากที่ผมเดินก้าวเข้าไปสู่ห้องอาหาร แว่บแรกที่ผมเห็นก็คือภาพของพนักงานหญิงที่แสนจะน่ารักจากการที่พวกเค้าแต่งกายด้วยชุดประจำชาติเวียดนามครับ และก็มีอีก 1 อย่างที่สะดุดสายตาผมไว้เช่นเดียวกันครับ นั่นก็คือ
.
.
.
.
ป้ายรางวัล Bangkok Best Restaurant Award 2015 ซึ่งน่าจะสามารถการันตีคุณภาพของห้องอาหารแห่งนี้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ถัดจากป้ายรางวัลมา ก็จะเจอชุดโซฟาเล็กๆ ดูน่ารัก อบอุ่นชุดนี้อยู่ครับ ผมว่ามันดูน่ารักดีครับ
หลังจากนั้นพนักงานก็ได้พาผมเดินไปที่โต๊ะบริเวณริมกระจกครับ ซึ่งจากที่ผมได้ลองคำนวนตัวเลขที่นั่งดูในใจแล้วก็คิดว่าห้องอาหารแห่งนี้น่าจะสามารถจุคนได้ประมาณ 80 คนได้ครับ โดยจะมีการแบ่งโซนการนั่งออกเป็น 3 โซนง่ายๆ ดังนี้ คือ
-
โซนห้องส่วนตัว : สำหรับคนที่ต้องการคุยธุรกิจหรือต้องการความเป็นส่วนตัวสูง มี 1 โต๊ะ จุได้ประมาณ 8-10 คนครับ
-
โซนโต๊ะกลมริมกระจก : โซนเดียวกับที่ผมนั่ง มีอยู่ 4-5 โต๊ะนั่งได้ราวๆ 40 คน โต๊ะบริเวณนี้ค่อนข้างที่จะสว่างและมีแสงจากภายนอกเข้ามา ทำให้ถ่ายภาพได้สะดวกดีครับ
-
โซนโต๊ะสี่เหลี่ยม : โซนนี้จะค่อนข้างมืดหน่อยครับ โดยสามารถนั่งได้อีกราวๆ 30 คน และโซนนี้ทางห้องอาหารสามารถที่จะกั้น Section ออกมาพิเศษให้เราได้ด้วยนะครับ
เมื่อผมนั่งประจำโต๊ะเรียบร้อย พนักงานก็ได้นำผ้าร้อนมาให้ พร้อมกับผักและเครื่องเคียงครับ ซึ่งก็ทำให้ได้กลิ่นอายของอาหารเวียดนามขึ้นมาทันทีเลยครับ ><
ปล. ผมว่าตัวผักเค้าดูสด สะอาด น่ากินมากๆ เลยนะครับ และก็ตัวชุดผักนี้เราสามารถขอเพิ่มได้เรื่อยๆ เลยนะครับ ทางห้องอาหารเค้าบริการฟรี ไม่คิดเงินครับ
หลังจากนั้นทางพนักงานก็ได้นำเมนูอาหารมาให้ผมกับภรรยาดูครับ ซึ่งห้องอาหารแห่งนี้จะมีบริการอาหารอยู่ 2 แบบตามนี้นะครับ
แบบที่ 1: อาหาร A la carte สั่งเป็นจานๆ ไป
แบบที่ 2 : สั่งเป็น Set ซึ่งจะมีให้เลือกหลากหลายราคาครับ และจะมีความแตกต่างกันระหว่างมื้อกลางวันและมื้อเย็นครับ
อ้อ….ผมลืมบอกไปครับ ห้องอาหารเธียนดองจะเปิดบริการ 2 รอบต่อวันนะครับ โดยรอบกลางวันจะเปิดตั้งแต่ 11.30 น.-14.30 น. ส่วนรอบเย็นจะเปิดตั้งแต่ 18.00 น. – 22. 00 น. ครับ
เรามาสำรวจเมนูอาหาร A la carte กันก่อนแล้วกันครับ ขนาดเมนูค่อนข้างหนา และมีการแยกประเภทอาหารเป็นหมวดๆ ไว้ ได้แก่ ของทานเล่นและสลัด (Appetizers & Salads), ซุป (Soup), ปลาและหอย (Fish & Shellfish), เนื้อต่างๆ (Meat & Poultry), ข้าวและก๋วยเตี๋ยว (Rice & Noodles & Vegetable) แล้วก็ของหวาน (Dessert) ครับ โดยที่มุมขวาล่างของเมนูนั้นจะมีคำอธิบายสัญลักษณ์ 3 อย่างที่อาจจะโผล่ไปอยู่หน้าชื่อเมนูอาหารบางรายการครับ สัญลักษณ์สามอย่างที่ว่าก็ได้แก่ Chef’s Recommendation, Gluten free และ Vegetarian ครับ ซึ่งผมว่าสองอย่างหลังนี่เป็นอะไรที่ดีงามและบ่งบอกถึงความเอาใจใส่กับผู้ที่มากินอาหารมากๆ ครับ เพราะบางคนที่แพ้ Gluten หรือบางคนที่ทานมังสวิรัติก็จะสามารถเลือกสั่งอาหารจากในเมนูได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องคอยถามพนักงานไปมาครับ
มาดูเมนูอาหารที่เป็น Set กันบ้างดีกว่าครับ ทางห้องอาหารจะมีการแยกเล่มไว้ 2 เล่ม เล่มนึงสำหรับมื้อกลางวัน อีกเล่มสำหรับมื้อเย็นครับ เท่าที่ผมดูราคาคร่าวๆ ผมว่าราคาอาหารแบบเป็น Set นั้นน่าสนใจนะครับ โดยมีตั้งแต่ราคา 590++ จนถึง 1,080++ ครับ ยิ่งเป็น Set ที่ราคาสูงขึ้น ก็จะได้รายการอาหารเยอะขึ้นครับ โดย 1 Set จะสามารถทานได้หลายคนครับ และทุก Set จะมีของหวาน รวมทั้งชา กาแฟ ไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ
สำหรับมื้อนี้ผมกับภรรยาจะรับประทานกันเป็นแบบ A la carte นะครับ โดยรายการอาหารทั้งหมดในมื้อนี้ก็ตามนี้ครับ
-
ปลาทอดตะไคร้ (580 บาท)
-
กุ้งพันอ้อย (490 บาท)
-
แหนมเนือง (360 บาท)
-
ข้าวเกรียบปากหม้อญวนสอดไส้หมูและกุ้ง (380 บาท)
-
เฝอเส้นเล็กแห้งผัดมันกุ้งพร้อมทั้งกุ้ง, ปลา, หอย (340 บาท)
-
เนื้อแกะย่างทรงเครื่อง (1,150 บาท)
-
กล้วยหอมทอดเสิร์ฟพร้อมกับไอศรีมวานิลลา (280 บาท)
-
เชอร์เบทลิ้นจี่เสิร์ฟในมะพร้าวอ่อน (280 บาท)
หมายเหตุ : รายการที่ 1, 2, 4, 6 และ 7 คือเมนูที่ Chef’s Recommendation ครับ เดี๋ยวเราตามไปดูกันว่ามันจะถูกปากผมกับภรรยาหรือเปล่านะครับ ^^
เริ่มกันที่รายการแรกกันเลยครับกับปลาทอดตะไคร้ โดยปลาที่นำมาทอดนั้นคือปลาดอลลี่ครับ ขนาดตัวกำลังพอเหมาะกับการทาน 2-3 คน จัดวางอาหารมาได้สวยงามดีครับ มีการหั่นปลาเป็นชิ้นไว้เรียบร้อยแล้วครับ ทำให้ทานได้ง่ายมาก ส่วนในรสชาติผมว่าอร่อยถูกปากดีนะครับ ผมกับภรรยาชอบครับ
สำหรับจานที่ 2 ก็คือกุ้งพันอ้อยครับ ในจานจะมีทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน และจะมาเสิร์ฟพร้อมกับเส้นหมี่ครับ ขนาดชิ้นถือว่าใหญ่มาก ความยาวราวๆ 15cm ได้ครับ รสชาติจานนี้ดีมาก เนื้อกุ้งแน่น เด้ง อร่อย
และด้วยความที่เมนูนี้มันอร่อยมาก แต่มันมี 3 ชิ้น ทำให้ผมกับภรรยาหารกันไม่ลงตัว ดังนั้นในฐานะที่ผมเป็นสุภาพบุรุษก็เลยต้องอาสารับผิดชอบไป 2 ชิ้นครับ ><
รายการที่ 3 แหนมเนือง รายการนี้หากเข้าร้านอาหารเวียดนามแล้วไม่ได้สั่งนี่ก็เหมือนไม่ได้เข้าไปกินอาหารเวียดนามนะครับ เปรียบเสมือนเป็นรายการบังคับที่ทุกคนต้องสั่งมากิน ฮา
ตัวชิ้นหมูนั้นชิ้นใหญ่ดีครับ มาทั้งหมด 2 แท่งด้วยกัน รสชาติจานนี้ผมให้อยู่ระดับกลางๆ ครับ ไม่ได้ว้าวมากเหมือนสองจานแรกครับ
จานที่ 4 ข้าวเกรียบปากหม้อญวนสอดไส้หมูและกุ้ง จัดเรียงจานมาน่ากินมากด้วยการวางหมูยอและหอมเจียวไว้ด้านบน ส่วนไส้นั้นนอกจากจะมีทั้งหมูและกุ้งแล้วเหมือนจะมีเห็ดหอมผสมด้วยครับ จานนี้ผมว่าอร่อยมากครับ อร่อยจนอยากจะขอเบิ้ลเลย สมแล้วที่เป็น Chef’s Recommendation ครับ
ต่อกันด้วยจานที่ 5 เพื่อให้เข้ากับเทศกาลเฝอที่กำลังจัดอยู่ นั่นก็คือ เฝอเส้นเล็กแห้งผัดมันกุ้งพร้อมทั้งกุ้ง, ปลา, หอย ครับ โดยตอนแรกที่ผมเห็นรูปที่ทางห้องอาหารโฆษณานั้น ผมแอบคิดในใจว่าต้องลองชิมให้ได้!! เพราะว่าหน้าตามันน่ากินมาก ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับผัดไทแต่ก็ไม่ใช่ และที่สำคัญผมยังไม่เคยกินเฝอแห้งมาก่อนเลยในชีวิตครับ
และเมื่อผมได้ลองชิมเรียบร้อยก็ต้องบอกว่าเมนูนี้เป็นหนึ่งในเมนูที่น่าสนใจมากครับ หากใครที่มีโอกาสได้ไปทานช่วงนี้อย่าพลาดที่จะสั่งนะครับ เพราะเส้นที่เค้าทำมานั้นหอมมันกุ้งมากกกกกก แถมเนื้อที่ใส่มาทั้งกุ้ง ปลา หอยนั้นดีงามมาก ตัวกุ้งสด เนื้อหวาน ส่วนปลาก็ทอดกรอบนอกนุ่มในได้ดีครับ สำหรับจานนี้ถ้าผมจะติก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือปริมาณมันแอบน้อยไปนิดครับ สำหรับคนที่กะจะเข้ามาทานแค่จานเดียวจบอาจจะไม่อิ่มได้ครับ และอาจจะต้องสั่งอะไรมาเพิ่มเติมเพื่อให้อิ่มท้องครับ
อ้อ…อีกนิดนึงครับ รสชาติรวมๆ ของจานนี้จะออกเปรี้ยวอมหวานนิดๆ นะครับ ถ้ายังไงมีโอกาสไปช่วงนี้ อยากให้ลองชิมดูจริงๆ ครับ ^^
มาถึงจานที่ 6 ซึ่งเป็นของคาวจานสุดท้ายกันแล้วครับ กับเนื้อแกะย่างทรงเครื่อง โดยจะมาเสิร์ฟทั้งหมด 3 ชิ้นใน 1 จานครับ ขนาดชิ้นกำลังพอเหมาะไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปครับ โดยรายการนี้เป็นรายการที่ผมประทับใจและชอบมากที่สุดในมื้อนี้เลยครับ เนื้อแกะนุ่มมาก ปรุงมาได้ดี อร่อยมาก ส่วนเรื่องกลิ่นที่ใครต่อใครหลายคนกังวลเวลาที่กินเนื้อแกะนั้น ต้องบอกว่าจานนี้มีกลิ่นเนื้อแกะน้อยมากครับ จางๆ พอให้รู้สึกแต่ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสในการกินครับ
ย้ำสั้นๆ ง่ายๆ สำหรับจานนี้ นี่คือเนื้อแกะย่างที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ผมเคยกินมาครับ!! และด้วยความที่ภรรยาผมไม่ค่อยชอบทานเนื้อแกะ ดังนั้นจานนี้ผมจึงซัดคนเดียวหมดเลย 3 ชิ้น…….ฟินมากครับ
เอาล่ะครับ ตอนนี้ก็จบรายการของคาวแล้ว เรามาต่อกันที่ของหวานกันดีกว่าครับ กับรายการแรกของหวานประจำชาติเวียดนามที่เข้าร้านอาหารเวียดนามแล้วต้องสั่งประจำเปรียบเสมือนเมนูบังคับเหมือนกับแหนมเนืองนั่นแหละครับ นั่นก็คือกล้วยหอมทอดครับ!!
สำหรับเมนูนี้บางร้านก็จะเสิร์ฟเฉพาะกล้วยหอมทอดอย่างเดียวเท่านั้นแต่สำหรับที่นี่จะมีไอศรีมวานิลลามาเสิร์ฟด้วยอีก 1 ลูกครับ
รายการนี้ไม่ค่อยถูกปากผมเท่าไหร่ครับ ตัวไอศรีมวานิลลานั้นอร่อยดีครับ แต่ตัวกล้วยหอมทอดนั้นเฉยๆ ครับ และเมื่อเทียบกับราคาต่อจานแล้วผมว่าจานนี้ราคาสูงไปหน่อย และนี่ถือเป็นรายการ Chef’s Recommendation จานเดียวในมื้อนี้เลยที่ผมแอบ fail ส่วนที่เหลืออีก 4 จานก่อนหน้านี้ถือว่าดีงามหมดเลยนะครับ ><
เอาล่ะครับ หลังจากที่ fail นิดๆ กับกล้วยหอมทอดไป ทีนี้เรามาดูของหวานจานสุดท้ายในมื้อนี้กันกับเชอร์เบทลิ้นจี่ที่เสิร์ฟในมะพร้าวอ่อนกันดีกว่าครับ โดยของหวานรายการนี้ราคา 280 บาทเท่ากันกับกล้วยหอดทอดจานเมื่อกี้นะครับ
เมื่อทางพนักงานได้นำเมนูนี้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมก็รู้สึกค่อนข้างประทับใจตั้งแต่แรกเห็นเลยครับ เพราะว่ามะพร้าวลูกใหญ่มาก ดูคุ้มค่ากว่าจานเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด ฮา……ส่วนรสชาติหลังจากที่ได้ลองชิมแล้ว ต้องบอกว่าดีงาม อร่อยมากกกกกครับ รสชาติของเชอร์เบตลิ้นจี่ทำมาได้ดีมากและเข้ากันกับเนื้อมะพร้าวอย่างไม่น่าเชื่อครับ และหลังจากที่ผมกับภรรยากินไปเกลี้ยงลูกจนขูดแล้วขูดอีก เราสองคนต่างก็ให้ความเห็นตรงกันว่าทางห้องอาหารแห่งนี้ควรจะยกระดับเมนูนี้ขึ้นมาเป็น Chef’s Recommendation แทนกล้วยหอมทอดครับ!!
เอาล่ะครับ ตอนนี้เราก็พูดถึงทั้งของคาวและของหวานครบหมดแล้ว แต่ก่อนที่จะไปถึงบทสรุปนั้น เรามาพูดถึงเรื่องเครื่องดื่มกันก่อนดีกว่าครับ
สำหรับเรื่องเครื่องดื่มนั้นทางห้องอาหารเธียนดองมีให้บริการทั้งน้ำเปล่า ตะไคร้ เก๊กฮวย แล้วก็น้ำผลไม้ครับ โดยน้ำตะไคร้กับเก๊กฮวยนั้นจะเป็นแบบ Refill และสามารถเลือกได้ว่าจะทานแบบเย็นหรือร้อนครับ
ผมกับภรรยาลองสั่งเก๊กฮวยเย็นกับตะไคร้เย็นมาอย่างละแก้ว และก็ได้แก้วทรงสูง หน้าตาสวยเก๋แบบนี้มาครับ โดยทางร้านจะแยกน้ำเชื่อมออกมาต่างหากนะครับ เพื่อให้เราได้ทำการผสมเอง ใครชอบหวานมาก หวานน้อยก็จัดการผสมกันไปครับ สำหรับรสชาติของทั้ง 2 แก้วก็อยู่ในระดับปกติครับ สิ่งที่ดีก็คือเรากำหนดความหวานของมันได้เองครับ อ้อ…..ราคาของเก๊กฮวยและตะไคร้ Refill นั้นอยู่ที่ 210 บาทนะครับ
และตอนนี้ก็ได้เวลามาสรุปกับอาหารมื้อนี้กันแล้วนะครับ ตามไปดูกันทีละข้อได้เลยครับ
รสชาติอาหาร : ดีงามมากครับ โดยรวมๆ ผมประทับใจมาก เพราะจาก 8 จานที่ผมได้มีโอกาสได้ลองนั้น ผมชอบถึง 6 จานด้วยกัน ซึ่งใน 6 จานที่ชอบนี้ มีถึง 4 จานที่ผมชอบมากๆ ได้แก่ กุ้งพันอ้อย, ข้าวเกรียบปากหม้อญวนสอดไส้หมูและกุ้ง, เนื้อแกะย่างทรงเครื่อง และเชอร์เบทลิ้นจี่เสิร์ฟในมะพร้าวอ่อนครับ ส่วน 2 จานที่ผมรู้สึกว่ารสชาติกลางๆ ไม่ได้ว้าวเท่าไหร่ก็คือแหนมเนืองและกล้วยหอมทอด ซึ่งเป็นเมนูประจำชาติ ขึ้นชื่อ ที่ทุกคนที่มาน่าจะลองสั่ง T___T อย่างไรก็ตามจากการกินอาหารมื้อนี้ผมสามารถสรุปสั้นๆ ได้เลยว่าอันไหนที่มีเครื่องหมาย Chef’s Recommendation อยู่ข้างหน้านั้น สามารถสั่งมาลองได้เลยครับ เพราะค่อนข้างเชื่อถือได้ครับ!!
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่ามีความหลากหลายของอาหารเยอะดีครับ เพราะมีการแยกเป็นหมวดๆ 5-6 หมวด แถมแต่ละหมวดก็มีหลายรายการ นอกจากนี้ยังมีอาหารที่เป็น Gluten Free กับ Vegetarian อีกด้วย ดังนั้นเวลามากินกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ น่าจะสั่งอาหารกันได้สนุกและหลากหลายดีครับ
ความสะอาดของร้าน : ข้อนี้สอบผ่านสบายๆ ครับ ไม่มีปัญหาอะไร
การบริการของพนักงาน : ยิ้มแย้มใจใส่ เอาใจใส่ บริการรวดเร็วดีครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : โรงแรมดุสิตธานีเป็นโรงแรมที่มีทำเลที่ตั้งค่อนข้างดีครับ แม้จะอยู่โซนที่เรียกได้ว่าเป็นใจกลางเมือง แต่ก็สามารถเดินทางมาได้หลายเส้นทาง รวมทั้งยังสามารถใช้บริการได้ทั้ง MRT และ BTS ดังนั้นในช่วงเวลาที่เป็นชั่วโมงเร่งด่วนเราก็ยังมีทางเลือกของการเดินทางที่สามารถควบคุมเวลาได้สบายๆ ให้เลือกอยู่ครับ
ความคุ้มค่า : หลังๆ มานี้เวลาที่ผมจะเทียบความคุ้มค่าของอาหารมื้อนั้น ผมจะมีการแยกเรทกับเกรดอยู่ในใจก่อนว่า มื้อนี้เป็นเกรดโรงแรมนะราคาต้องเป็นอีกเรทนึง มื้อนี้เป็นเกรดร้านทั่วไปนะราคาต้องเป็นอีกเรทนึง ไม่งั้นนี่มันจะทำให้การเทียบราคาวุ่นวายไปหมดและกลายเป็นว่ามื้อที่ทานในโรงแรมจะราคาสูงลิบลิ่วจนดูไม่คุ้มค่าครับ สำหรับมื้อนี้โดยส่วนตัวผมมองว่าราคาเมนูอาหารแบบ A la carte นั้นดูสูงไปเล็กน้อยครับ เพราะราคาที่โชว์ในเมนูคือราคาที่ยังไม่ได้รวม Vat 7% กับ Service Charge 10% เลย แต่หลังจากที่ผมได้ลองชิมดูแล้วก็ต้องบอกว่าหลายๆ จานนั้นรสชาติดีเหมาะสมกับราคาของมันครับ เพราะคุณภาพของเนื้อต่างๆ ที่ใส่ไป รสชาติที่ปรุงออกมานั้นดีเลยครับ อย่างไรก็ตามในหลายๆ รายการถ้าทางห้องอาหารสามารถเพิ่มปริมาณเข้าไปได้อีกนิดมันน่าจะช่วยทำให้คนที่ไปทานรู้สึกว่าคุ้มค่าขึ้นกว่านี้อีกพอควรครับ ส่วนใครที่ติดขัดเรื่องงบประมาณลองดูราคาเมนูแบบที่เป็น Set ดูก็ได้ครับ ผมว่าน่าสนใจดีนะครับ เพราะทางห้องอาหารเค้าได้มีการจัดไว้ให้เลือกหลาย Set เลยครับ ถึงแม้จะเราเลือกเมนูเองไม่ได้แต่ก็ได้เรื่องความคุ้มค่ามาแทนครับ
สรุป : หากคุณต้องการหาห้องอาหารเวียดนามดีๆ ที่ตั้งอยู่ในโรงแรมไว้กินกับครอบครัว แฟน หรือคุยธุรกิจ ไม่ได้ติดเรื่องงบประมาณอะไรมากผมว่าห้องอาหารเธียนดองนี่เป็น 1 ในห้องอาหารที่น่าสนใจควรจดไว้ใน list เลยครับ โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการคุยธุรกิจหรือรับแขกผู้ใหญ่ เพราะด้วยรสชาติอาหารที่ดี ทำเลที่ตั้งสะดวก อยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาว พนักงานบริการดี รวมทั้งยังมีห้องส่วนตัวไว้บริการในกรณีที่ต้องการความเป็นส่วนตัวเพิ่มครับ สำหรับเมนูอาหารที่ไม่ควรพลาดก็เป็นบรรดา Chef’s Recommendation ต่างๆ ครับ ส่วนคนที่ชอบทานเนื้อแกะนั้นก็ห้ามพลาดที่จะสั่งเนื้อแกะย่างทรงเครื่องโดยเด็ดขาดครับ และปิดท้ายสำหรับคนที่มีงบประมาณจำกัดหรือต้องการคุม Budget ในแต่ละมื้อไม่ให้บนปลาย การเลือกสั่งเมนูอาหารแบบเป็น Set จะเป็นทางออกที่ดีให้คุณครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของร้านนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
Facebook : Dusit Thani Bangkok
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป
Facebook Comments