หลายๆ ครั้งที่เราเห็นร้านอาหารน่ารักๆ ดูแล้วน่าเข้าไปถ่ายรูป น่าเข้าไปทานอาหาร แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาโอกาสเข้าไปลองทานไม่ได้ซักทีนั้น มันก็พาลทำให้หงุดหงิดหัวใจทุกครั้งที่ต้องขับรถผ่านใช่มั้ยครับ?
ความรู้สึกนี้มันก็เหมือนผมกับร้าน Villa De Bear (วิลล่า เดอ แบร์) ถ.ราชพฤกษ์ นี่แหละครับ ทั้งๆ ที่เป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก และยังเป็นร้านที่ผมกับต๋งอยากจะไปลองทานอยู่แล้วด้วย แต่กว่าที่เราจะได้ลองทานนั้นก็เป็นเวลาเกือบ 2 ปีนับจากที่ร้านเปิด!! และก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร้านพึ่งจะเปิดโซนใหม่ Karaoke Zone ได้ไม่นาน ดังนั้นในรีวิวนี้เราก็เลยจะพาทุกคนไปบุกอาณาจักรหมี บนถนนราชพฤกษ์ Villa De Bear กันแบบให้ทะลุปรุโปร่งให้สมกับที่รอคอยมานาน!!
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
สำหรับการเดินทางมาที่ร้าน Villa De Bear แห่งนี้ก็ไม่ยาก หากคุณรู้จัก The Circle ราชพฤกษ์แล้วก็น่าจะมาถูก หรือถ้าไม่รู้จักจริงๆ ก็ดูตามแผนที่ด้านล่างนี้ได้เลย รับรองว่าถึงแน่นอนเพราะตัวร้านนั้นตั้งเด่นเป็นสง่า มองเห็นได้ชัดเจนมาก
ภาพรวมและ concept ของร้าน Villa De Bear นั้น จะใช้ลักษณะสถาปัตยกรรมของประเทศเนเธอแลนด์หรือที่หลายคนติดปากว่าฮอลแลนด์เป็นแม่แบบ โดยมีคาแรคเตอร์ของเจ้าหมีดำ Villy (วิลลี่) เป็นพระเอกของร้าน ซึ่งผมอยากจะบอกว่าทางเจ้าของร้านเนี่ยเค้าคิดมาเยอะนะครับกว่าจะได้เจ้า Villy ออกมาเนี่ย เพราะทางเจ้าของร้านเค้าอยากจะได้ร้านอาหารที่ดูสวยงาม อบอุ่น และให้ความรู้สึกว่าทุกคนได้มากินข้าวพร้อมเพรียงกันอย่างมีความสุข อิ่มหนำสำราญกันอย่างเต็มที่ ดังนั้นนอกจากตัวอาคารที่เค้าจะทำออกมาให้สวยงาม มีความสนุกซ่อนอยู่ภายในแล้ว เค้าจึงอยากได้คาแรคเตอร์ตัวละครที่เป็นตัวแทนของการกินเยอะ นั่นก็เลยออกมาเป็นเจ้าหมี และเพื่อไม่ให้ร้านดูมุ้งมิ้งจนผู้ชายและกลุ่มวัยรุ่นไม่กล้าเข้าร้าน เจ้า Villy ก็เลยมีสีดำและยังมีเพื่อนๆ อีก 4-5 ตัว มาร่วมสร้างสีสันให้การทานอาหารของเราในมื้อนั้นสนุกสนานยิ่งขึ้นครับ
เมื่อรู้ประวัติความเป็นมาของร้าน รวมทั้งต้นกำเนิดของเจ้า Villy แบบนี้แล้ว ดังนั้นใครที่มาที่นี่เป็นครั้งแรกก็อย่าลืมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับเจ้า Villy ตัวใหญ่เบิ้มที่อยู่หน้าร้านตัวนี้ด้วยล่ะครับ
สำหรับเวลาในการเปิดปิดของร้าน Villa De Bear นั้น จะเปิดปิดตามนี้เลยครับ
วันจันทร์-ศุกร์ : 17.00 – 24.00 น.
วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ : 11.00 – 24.00 น.
ใครจะไปทานวันไหนก็ดูเวลาดีๆ นะครับ ส่วนผมกับต๋งไปวันเสาร์และเราไปถึงก่อนเวลาร้านเปิด 15 นาที เราก็เลยเดินถ่ายรูปเล่นรอเวลาเปิด ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรานะครับ เพราะไม่มีคนแย่งมุมเลย นอกจากนี้ทางร้านก็ยังมีที่นั่งเก๋ๆ ไว้ให้เรานั่งรออีกด้วย ^^
ในส่วนเรื่องที่จอดรถนั้นก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะที่จอดรถของทางร้านนั้นเยอะมาก โดยหากที่จอดรถโซนด้านหน้าเต็ม ทางร้านยังมีที่จอดรถบริเวณด้านหลังที่สามารถจอดได้อีกหลายสิบคันไว้รองรับอีก
เอาล่ะ ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ทางร้านเปิดบริการแล้ว เราเข้าไปสำรวจข้างในร้านกันดีกว่า โดยหลังจากที่เราเดินผ่านจุดที่มีพนักงานต้อนรับบริเวณประตูทางเข้าแล้ว เราก็จะพบกับภายในร้านที่มีตึกสวยงามอยู่รอบๆ ตัวเรา รวมทั้งจะเห็นโต๊ะรับประทานอาหารโซน Outdoor พร้อมเวทีอยู่บริเวณกลางร้าน ซึ่งโซน Outdoor นี้ดูจะน่านั่งมาก ในช่วงเย็นที่อากาศดีๆ มีลมเย็นพัดมาเบาๆ ส่วนตอนกลางวันแดดกลางหัวแบบนี้เราก็คงต้องเข้าไปนั่งในอาคารที่ติดแอร์เย็นฉ่ำอยู่แล้วเนอะ ><


ข้างในอาคารหลักที่ผมกับต๋งเลือกนั่งในวันนี้นั้นจะเป็นอาคารติดแอร์ที่สามารถจุคนได้ประมาณ 150 คน และบริเวณข้างๆ อาคารยังมีที่นั่งโซน Outdoor แบบที่มีหลังคาคลุมอีกประมาณ 80 ที่นั่ง ซึ่งเรียกว่าเป็นพื้นที่ที่กว้างใช้ได้เลย โดยที่นั่งแต่ละโซนนั้นทางร้านก็ได้มีการตกแต่งสวยงามและเก๋ไก๋ ไม่ว่าจะเป็นหมอนหรือที่นั่งรูปหมี จนไปถึงบริเวณเพดานของร้านที่มีหลอดด้ายกับฟันเฟืองติดอยู่ เรียกว่าดูแล้วรู้เลยว่าเป็นการจำลองออกมาให้เหมือนกับการอยู่ในโรงงานผลิตตุ๊กตาหมีครับ











ส่วนภาพนี้จะเป็นที่นั่งบริเวณชั้น 2 ของอาคารหลัก ซึ่งเป็นโซนที่นั่งที่ผมว่ามีความเป็นส่วนตัวระดับนึงเลย สามารถรองรับคนได้ประมาณ 30 คน หากใครกำลังมองหาร้านน่ารักๆ ที่สามารถกั้นพื้นที่เป็น Private Zone จำนวนประมาณเท่านี้อยู่ ก็ลองพิจารณาร้านนี้เป็นตัวเลือกนะครับ ผมว่าคนที่ไปงานน่าจะชอบบรรยากาศของร้านกัน
ส่วนถ้าใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวอีกระดับ ก็ต้องไปที่โซนใหม่ของร้าน Karaoke Zone!! เพราะที่อาคารหลังใหม่นี้เค้าจะมีการแบ่งห้องออกเป็นทั้งหมด 5 ห้องด้วยกัน ได้แก่ ห้อง Villy บริเวณชั้น 2 ของอาคาร และห้อง Christy, Kinny, Tubie และ Sammy บริเวณชั้น 1 ของอาคาร โดย 4 ห้องหลังนี่จะเป็นห้องคาราโอเกะที่มีราคาห้องเริ่มต้นเพียง 1,800 บาท/ห้อง/คืนเท่านั้น เรียกว่าราคาดีมากเลย ><
เราไปเริ่มสำรวจห้อง Villy ซึ่งเป็นห้องพี่ใหญ่กันก่อนดีกว่า ห้องนี้จะอยู่ที่ชั้น 2 ของอาคาร สามารถจุคนได้ราวๆ 80 คน ใครอยากจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ มีความเป็นส่วนตัว เฮฮาเสียงดังได้เต็มที่ก็ลองดูห้องนี้ได้นะครับ ผมว่าเค้าตกแต่งออกมาได้ดี ดูไม่เคร่งขรึมตึงเครียดเหมือนห้องสัมมนาตามโรงแรม
ส่วนนี่เป็นห้องคาราโอเกะทั้ง 4 ห้องของ Villa De Bear โดยทั้ง 4 ห้องนี้จะมีชื่อเรียกตามหมีแต่ละตัว รวมทั้งยังมีการตกแต่งห้องที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้าหมีตัวนั้นๆ ด้วย ใครชอบห้องสไตล์ไหน ที่นั่งแบบไหนก็ดูภาพแล้วก็ตัดสินใจเอาเองนะครับ เพราะทั้ง 4 ห้องนี้ จะจุคนได้ใกล้เคียงกันคือ 20-30 คน ส่วนราคาค่าห้องก็อยู่ที่ 1,800 บาท จนถึง 2,500 บาท/คืน และไม่มีการบังคับสั่งอาหารขั้นต่ำ ดังนั้นใครจะกินอาหารมากกินน้อยแค่ไหนก็ตามสบายจ้า
Christy : หมีสายหวาน ให้บรรยากาศแนวน่ารักมุ้งมิ้ง มีหลอดไฟบนเพดานเป็นรูปโดนัทหลากสี
Kinny : คุณหมีพ่อครัว ห้องที่มีโซฟานุ่มๆ ในห้องถึง 2 ตัว รวมทั้งมีขนาดห้องที่ใหญ่กว่าใครเพื่อน
Tubie : หมีนักซ่อมบำรุง กับบรรยากาศภายในห้องที่น่าจะถูกอกถูกใจเหล่าผู้ชายวัยรุ่น
Sammy : หมีนักเย็บผ้า ที่มีพร็อพเกี่ยวกับการตัดเย็บอยู่เต็มไปหมด
อ้อ…ผมลืมบอกไปว่า ทั้ง 4 ห้องนี้เราสามารถปรับไฟต่างๆ ได้ตามอารมณ์ของเราเลยนะครับ นอกจากนี้บรรดาเพลงที่เค้ามีในลิสต์ก็มีมากกว่า 60,000 เพลง ครอบคลุมทั้งไทย, จีน, อังกฤษ จนไปถึงอินเดียเลย!!







เอาล่ะ ผมพาทุกคนไปสำรวจร้านซะจนเกือบพรุนเลย ตอนนี้ทุกคนก็น่าจะเริ่มหิวกันแล้ว งั้นเดี๋ยวเราไปพูดถึงเรื่องของอาหารของร้านกันดีกว่าครับ
สำหรับเมนูอาหารของร้าน Villa De Bear นั้น เท่าที่ผมสำรวจดูก็พบว่าเค้ามีอาหารให้เราเลือกสั่งเยอะมากทั้งไทยและยุโรป ดังนั้นใครที่จะมาที่ร้านนี้ไม่ต้องกังวลเลยว่ามาถึงแล้วจะไม่มีอะไรกิน เมนูอาหารมันเยอะมาก ขนาดอาหารไทยอย่างเดียวยังมีให้เลือกมากกว่า 200 เมนูเลยครับ!!
ส่วนนี่เป็นเมนูที่ผมกับต๋งทานในวันนี้ครับ
-
แกงคั่ววิลลี่ทะเลรวม 250 บาท
-
ผัดไทยวิลล่า 230 บาท
-
ยำแสร้งว่ากุ้งย่างปลาฟู 200 บาท
-
ปลาเก๋าสามรส 480 บาท
-
Chocolate Mousse (Villy) 130 บาท
-
Panna cotta 170 บาท
-
น้ำ BBQ Punch 130 บาท
-
น้ำ Apple Italian Soda 130 บาท
หมายเหตุ : ราคาอาหารในเมนูจะเป็นราคาที่ยังไม่ได้บวก Vat 7% นะครับ
หลังจากที่อาหารทั้งหมดมาเสิร์ฟเรียบร้อยแล้ว เราก็พบว่าขนาดของแต่ละจานนั้นอยู่ในขนาดที่เรียกว่าใหญ่และเยอะใช้ได้เลย ซึ่งทางร้านบอกว่าในระยะหลังมานี้ทางร้านได้มีการเพิ่มปริมาณอาหารต่อจานให้มากขึ้น ดังนั้นในความคิดของผมก็คือ ถ้าใครมากินข้าวที่นี่กับแฟนแค่ 2 คน ไม่ควรสั่งอาหารเกิน 3 อย่างครับ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกินไม่หมดได้ @[email protected]
เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปไล่ชิมทีละจานพร้อมกับฟังความคิดเห็นจากผมกับต๋งกันได้เลย เริ่มจากจานแรก แกงคั่ววิลลี่ทะเลรวม เมนูนี้มาในรูปแบบหม้อไฟ โดยภายในหม้อนอกจากจะมีผักโขมแล้วยังมีเนื้อมาให้เยอะมากทั้งหอยแมลงภู่, กุ้ง และปลาหมึก ในด้านความสดความใหญ่ของเนื้อแต่ละอย่างนั้นทำมาได้ดีเลยครับ ส่วนรสชาติของน้ำแกงโดยส่วนตัวผมว่ามันออกมันๆ กว่าแกงคั่วทั่วๆ ไป ซึ่งผมเข้าใจว่าทางร้านคงปรุงอาหารออกมาในสไตล์ฟิวชั่นที่แตกต่างจากที่อื่น ดังนั้นใครที่ชอบแกงที่ออกมันๆ และชอบทานกุ้ง, ปลาหมึก, หอยแมลงภู่ ก็น่าจะถูกใจกับเมนูนี้ครับ
ต่อกันที่จานที่สอง ผัดไทยวิลล่า อาหารจานนี้ก็เป็นอาหารไทยที่ฟิวชั่นอีกแล้ว โดยจานนี้ทางร้านได้มีการใส่ชีสหลายชนิดลงไปด้วย ดังนั้นเส้นของผัดไทยจึงไม่ได้แห้งมาก รวมทั้งมีความเค็ม ความมันของชีสปนอยู่ค่อนข้างเยอะ ส่วนของเนื้ออย่างหอยแมลงภู่, กุ้ง และปลาหมึก ทางร้านก็ยังคงรักษามาตรฐานได้ดีเหมือนกับจานที่แล้ว คือ ใหญ่ เยอะ และสด นอกจากนี้กุ้งยังทอดมาได้กรอบ สามารถทานได้ทั้งตัวเลย
สำหรับเมนูผัดไทยวิลล่านี้เป็นเมนูที่ผมชอบมากที่สุดในอาหารมื้อนี้เลย ส่วนต๋ง ภรรยาผม เธอบอกว่ายังไม่ค่อยโดน ไม่ใช่สไตล์ที่เธอชอบเท่าไหร่ครับ ก็เอาเป็นว่าใครที่ชอบทานอาหารฟิวชั่น รับได้กับการทานผัดไทยใส่ชีส และเป็นผัดไทยที่เส้นสั้นๆ เส้นไม่ได้เหนียวหนึบมาก ก็ลองสั่งจานนี้มาชิมดู แต่ถ้าใครที่เป็นกลุ่มคนที่มองหาผัดไทยสไตล์ไทยแท้ๆ ก็ควรข้ามเมนูนี้ไปครับ


จานถัดมา ยำแสร้งว่ากุ้งย่างปลาฟู เมนูนี้ทางร้านทำออกมาได้ดีเลย รสชาติจัดจ้านถูกปากมาก เครื่องเทศเยอะ ปลาดุกฟูก็ทอดได้กรอบ ส่วนกุ้งก็ตัวใหญ่ดี ใครที่ชอบทานอาหารประเภทยำที่มีรสชาติเผ็ดและเปรี้ยวน่าจะถูกใจกับเมนูนี้ครับ

ปิดฉากอาหารคาวด้วย ปลาเก๋าสามรส เมนูนี้เป็นเมนูที่ราคาแพงที่สุดในมื้อเลยคือ 480 บาท ขนาดตัวปลาที่ได้ถือว่าใหญ่ เนื้อเยอะและทอดมาได้กรอบดี นอกจากนี้รสชาติที่ทางร้านปรุงมาก็มีความเผ็ดนำ ซึ่งค่อนข้างจะแตกต่างจากร้านอื่นๆ ที่ชอบปรุงปลาสามรสให้มีรสหวานนำ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมกับต๋งชอบทานรสชาติที่มีเผ็ดนำแบบนี้มากกว่าครับ

ต่อกันที่ของหวานดีกว่า เมนูของหวานที่เราได้ทานก็คือ Chocolate Mouse (Villy) กับ Panna cotta ซึ่งเจ้า Chocolate Mouse นี่ถือเป็น Signature Menu ของทางร้านเลย โดยเค้าจะมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกันตามคาแรคเตอร์ของหมี Villy, Kinny, Tubie และ Sammy
สำหรับเจ้าหมี Villy นั้น จะเป็นมูสช็อคโกแลตเข้มข้นที่มีการสอดไส้ราสเบอร์รี่กับสตรอเบอร์รี่ ตัวมูสช็อคโกแลตทำออกมาได้ดี ไม่หวาน และไม่ขมสำหรับผม เพราะโดยปกติแล้วผมเป็นคนที่ไม่ชอบทานช็อคโกแลตเพราะมันขม แต่สำหรับเมนูนี้ผมสามารถทานได้เรื่อยๆ เลยครับ
สรุปสำหรับเมนู Chocolate Mouse นี้ ผมว่าใครมาที่ร้าน Villa De Bear ครั้งแรกควรจะสั่งครับ เพราะมันน่ารัก อร่อย และราคาไม่ได้แพงจนเกินไป ส่วนใครจะสั่งเป็นหมีตัวไหนอันนี้ก็แล้วแต่ความชอบเลย



ต่อกันที่ Panna Cotta เมนูนี้ทางร้านจะเสิร์ฟมา 2 ถ้วยบนถาดไม้ที่สวยงาม ถ้วยแรกจะเป็น Panna Cotta ที่โรยท็อปปิ้งด้วยคอนเฟลกกับคาราเมล เนื้อนุ่มแน่นอร่อยดี ส่วนอีกถ้วยนึงจะเป็นผลไม้อย่างแอปเปิ้ล, กีวี, บลูเบอร์รี่ เพื่อเอาไว้กินด้วยกัน ใครที่ชอบทาน Panna Cotta อยู่แล้วน่าจะไม่ผิดหวังกับเมนูนี้ครับ

ในส่วนของเครื่องดื่ม น้ำ BBQ Punch Apple กับ Italian Soda นั้น ผมขอพูดรวมกันเลยนะครับ เรื่องรสชาติของทั้ง 2 แก้วนั้นอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนในเรื่องของการตกแต่งนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ทางร้านจัดวางองค์ประกอบมาได้ดึงดูดสายตา ถ่ายรูปขึ้น โดยเฉพาะ BBQ Punch Apple ที่มีการเสียบผลไม้เลียนแบบกับการกินบาร์บีคิวครับ


และสำหรับใครที่รู้สึกประทับใจในรสชาติของหวานของทางร้าน อยากจะซื้อกลับไปกินต่อที่บ้านหรือจะซื้อไปฝากเพื่อนๆ ทางร้านเค้าก็มีโซนจำหน่ายแยกออกมาต่างหากนะครับ โดยจุดจำหน่ายจะเป็นอาคารเล็กๆ 1 ชั้นบริเวณด้านหน้าของ Villa De Bear ข้างในอาคารนี้นอกจากจะตกแต่งสวยงามแล้วยังมีของที่ระลึกของทางร้าน รวมไปถึงเครื่องดื่มกับของหวานจำหน่ายด้วย ใครชอบใจอะไร ติดใจเมนูไหนก็สั่งซื้อกลับบ้านได้เลย






แต่ถ้าใครไม่อยากซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับบ้าน และไหนๆ ก็มาที่ร้านทั้งทีแล้ว ผมขอแนะนำให้เดินไปถ่ายรูปเช็คอินเก๋ๆ ที่ห้องน้ำของทางร้านแทน มันดูน่ารักมุ้งมิ้งไม่เหมือนที่ไหนดีครับ ><



และทั้งหมดนี้คือเรื่องราวที่ผมกับต๋งได้ไปสัมผัสมาในการทานอาหารที่ร้าน Villa De Bear ถ.ราชพฤกษ์ เป็นครั้งแรก และเพื่อให้ทุกคนอ่านชัดๆ เข้าใจง่าย เดี๋ยวเราไปไล่สรุปกันในแต่ละหัวข้อกันเลยครับ
วันที่รับประทาน : วันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2561
ช่วงเวลา : 11.00 – 14.30 น.
จำนวน : 2 คน
รสชาติอาหาร : จากเมนูอาหารคาว 4 อย่าง ของหวาน 2 อย่าง และเครื่องดื่ม 2 อย่างที่เราได้ทานนั้น ความเห็นส่วนใหญ่ของผมกับต๋งสอดคล้องไปในทางเดียวกันครับ คือดีและดีมาก ความสด ความใหญ่ของเนื้อที่ใส่มาในอาหารแต่ละอย่างนั้นก็อยู่ในเกณฑ์ดีเช่นเดียวกัน จะมีเพียงเมนูเดียวที่ผมกับต๋งเห็นแตกต่างกันนั่นก็คือผัดไทยวิลล่า ที่ผมชอบในรสชาติมาก แต่ต๋งคิดว่าเมนูนี้ทางร้านฟิวชั่นมากเกินไปจนไม่เหมือนผัดไทยที่เราคุ้นเคยครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นร้านที่มีเมนูอาหารเยอะมากครับ สามารถสั่งได้หลายสไตล์เลยทั้งไทยและยุโรป ดังนั้นน่าจะเป็นร้านที่เหมาะกับการพาคนกลุ่มใหญ่ๆ มาทาน หรืออาจจะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่มาทานซ้ำหลายครั้งก็ได้ แต่ทั้งนี้ในการสั่งอาหารเมนูต่างๆ มาทาน อาจจะต้องดูเรื่องของชื่อและส่วนประกอบของเค้าดีๆ นะครับ เพราะบางเมนูของเค้าก็มีการฟิวชั่นส่วนประกอบที่แตกต่างจากร้านอื่นพอควร ซึ่งถ้ารายการไหนไม่แน่ใจก็สอบถามกับทางพนักงานร้านได้เลย จะได้ไม่พลาดครับ
ความสะอาดของร้าน : อยู่ในเกณฑ์ดี สะอาดสะอ้านทั้งบริเวณโต๊ะอาหารและส่วนอื่นๆ เช่น ห้องน้ำ, โซนขายขนม
การบริการของพนักงาน : ข้อนี้ผมให้ความเห็นมากไม่ได้ เพราะวันที่ผมไปนั้นมีคนคอยดูแลโต๊ะผมเป็นพิเศษครับ นอกจากนี้ในช่วงที่ผมไปก็มีแขกโต๊ะอื่นๆ ไปใช้บริการแค่ 10-20% ของพื้นที่นั่งทั้งหมดเท่านั้น ผมก็เลยขอไม่ออกความเห็นในเรื่องนี้ดีกว่าครับ ^^
ความสะดวกของการเดินทาง : พอเป็นร้านอาหารที่อยู่บนถนนราชพฤกษ์ทีไร สิ่งนึงที่มักจะเป็นประเด็นก็คือเรื่องของการเดินทาง เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนใหญ่ที่แทบไม่มีรถประจำทางผ่านเลย คนจะมาต้องมาด้วย Taxi หรือรถส่วนตัวเป็นหลัก ซึ่งในเรื่องของพื้นที่ที่จอดรถนั้นก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ เพราะทางร้านมีไว้รองรับมากพอดูเลย
ความคุ้มค่า : จากราคาอาหารที่ผมได้กินในวันนี้นั้น อาหารคาวส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราคา 200 – 250 บาท/จาน (ยกเว้นปลาเก๋าสามรส ราคา 480 บาท) ส่วนของหวานกับเครื่องดื่มจะอยู่ที่ 130-170 บาท/แก้ว/ชิ้น (ราคายังไม่รวม Vat 7%) ซึ่งเมื่อเทียบกับรสชาติและปริมาณอาหารที่ได้แล้ว ผมว่าอยู่ในระดับที่รับได้ครับ เพราะราคาอาหารหลายๆ รายการก็ไม่ได้ไม่หนีจากร้านอื่นๆ ในโซนนี้เท่าไหร่ แถมที่นี่ยังได้เปรียบเรื่องบรรยากาศของร้านอีกด้วย แต่ทั้งนี้ถ้าจะให้ดีผมก็อยากให้ราคาในเมนูของทางร้านเป็นราคาอาหารที่ Net แล้ว ไม่ต้องบวกอะไรเพิ่ม เพราะจะทำให้คนที่ไปทานอาหารรู้สึกคุ้มค่ามากขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับใครที่มีแผนจะไปลองทานอาหารที่ร้านนี้อยู่แล้ว ก่อนที่จะไปก็ลองสอบถามเรื่องโปรโมชั่นกับทางร้านดูนะครับ เผื่อจะได้ส่วนลดอะไรเพิ่ม อย่างตอนที่ผมไปนั้นทางร้านก็มีโปรโมชั่นลด 5% สำหรับกลุ่มที่มีคนแต่งชุดครุยไปทานอาหารที่ร้านครับ
สรุป : สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านอาหารบนถนนราชพฤกษ์ที่มีบรรยากาศดี, มีจุดถ่ายรูปเยอะ, มีดนตรีสด, อาหารรสชาติดี, มีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor, มากินแล้วสามารถถ่ายรูปลง IG อวดเพื่อนได้ ร้าน Villa De Bear ถือเป็นร้านนึงที่เหมาะสมเลยครับ นอกจากนี้สำหรับใครที่อยากจะได้ความเป็นส่วนตัวเพิ่มอีกระดับทั้งการจัดเลี้ยงเป็นกลุ่มขนาด 60-70 คน หรือ การปาร์ตี้สังสรรค์คาราโอเกะกับแก๊งค์ประมาณ 10-20 คน Karaoke Zone ที่พึ่งเปิดใหม่ของทางร้านก็น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้เลย เพราะราคาต่อห้องต่อคืนนั้นไม่สูงมาก อีกทั้งสภาพห้องก็ใหม่ เพลงที่มีให้เลือกร้องก็เยอะดีครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ สำหรับใครที่อยากจะดูบรรยากาศของการรีวิวอาหารครั้งนี้ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหวก็สามารถกดดูที่คลิปด้านล่างได้เลย ส่วนใครที่อยากจะดูข้อมูลร้านนี้เพิ่มเติมก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่อที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้ครับ
Fanpage : Villa De Bear
Tel : 098-4966245
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้า ทั้งนี้ทุกท่านสามารถเข้าไปพบปะพูดคุยเรื่องราวของการกินและเที่ยวของผมกับต๋งแบบใกล้ชิดที่เพจ “ภรรยาหา สามีใช้” ได้เลยครับ สวัสดีครับ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป
Facebook Comments