หลังจากที่ผมได้ไปร่วมกิจกรรมกับ Website แห่งหนึ่งและได้ Voucher สำหรับไปทานอาหารที่ร้านแห่งนี้มา ผมก็ต้องใช้เวลาเกือบ 2 เดือนเต็มๆ จึงจะได้มีโอกาสไปใช้เจ้า voucher นี้ เรียกว่าใช้ซะเกือบวันสุดท้ายของมันเลยครับ สำหรับรายละเอียดของการไปทานของผมก็ตามนี้เลยครับ
วันที่รับประทาน : วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2560
เวลา : 14.00 – 15.00 น.
จำนวน 1 คน
Disclosure : บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ แต่ทั้งนี้ความเห็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกจริงของผมครับ
ร้านแห่งนี้ชื่อว่า Yasuda (ยาสึดะ) เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เน้นการขายอาหารที่มีส่วนผสมของเนื้อเป็นหลักครับ เช่น พวกข้าวหน้าเนื้อหรือปิ้งย่างต่างๆ โดยทางร้านบอกว่าเค้าเป็นร้านที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการจากประเทศญี่ปุ่นว่า เป็นร้านที่นำเข้าเนื้อโกเบแท้ๆ จากญี่ปุ่นเข้ามา ซึ่งในประเทศไทยนั้นมีอยู่ไม่ถึง 10 ร้านครับ โดยจะมีชื่อร้านเค้าอยู่ในโปสเตอร์, website แล้วก็ Guide Book อย่างเป็นทางการของทางโกเบ นอกจากนี้ก็ยังมีโล่ที่เป็นสัญลักษณ์รับรองตั้งอยู่ที่ร้านอีกด้วยครับ
สำหรับที่ตั้งของร้านนั้นจะอยู่ในซอยสุขุมวิท 34 ซึ่งระยะห่างระหว่างปากซอยจนถึงร้านนั้นก็ไกลพอดูครับ คาดว่าน่าจะมี 2 กิโลเมตรได้ ดังนั้นทางร้านจึงมีบริการรถรับส่งระหว่างปากซอยสุขุมวิท 34 กับร้านของเค้า ซึ่งคนที่เดินทางโดย BTS นั้นก็จะสามารถไปร้านเค้าได้ง่ายๆ เพียงแค่ไปลงสถานีทองหล่อแล้วเดินออกที่ทางออก 1 เพื่อไปยังปากซอยสุขุมวิท 34 จากนั้นก็โทรเรียกให้ร้านนำรถมารับที่ปากซอยครับ ส่วนใครที่ขับรถมาก็ไม่ยาก ขับเข้าซอยไปตามทางเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวจะเห็นร้านอยู่ทางขวามือครับ
หน้าตารถที่ทางร้านส่งออกมารับเราก็ตามนี้ครับ สีส้มสดใส เขียนชื่อร้านชัดเจน
พอรถมาส่งผมที่หน้าร้าน ผมถึงกับตกใจเพราะไม่คิดว่าจะมีหน้าตาร้านอาหารแบบนี้อยู่ในซอยแห่งนี้ มันเป็นร้านอาหารที่หน้าตาเหมือนร้านที่ญี่ปุ่นมากๆ แถมยังมีที่จอดรถทั้งหน้าร้านและข้างๆ ร้านอีกเป็น 10 คันเลยครับ เรียกว่าหน้าตาร้านแห่งนี้สามารถสร้างความประทับใจให้ผมตั้งแต่แรกพบเลยทีเดียว
และแน่นอนว่าพอผมเห็นหน้าตาร้านแบบนี้ การ Service แบบนี้ ผมก็เริ่มหวั่นๆ ใจแล้วล่ะครับว่า Voucher 500  บาทที่อยู่ในมือผมนั้นจะพอหรือเปล่า แต่เอาน่าเมื่อมาถึงนี่แล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไปครับ!!
พอผมเข้าไปในร้าน ผมก็พบว่าขณะนี้ผมเป็นลูกค้าคนเดียวในร้าน!! และหลังจากที่พนักงานสอบถามอะไรต่างๆ เรียบร้อยเค้าก็ได้พาผมเดินไปที่โต๊ะครับ
ลักษณะโต๊ะตรงโซนที่ผมนั่งนั้นสวยดี มีโต๊ะประมาณ 5-6 โต๊ะ นั่งได้ราวๆ 30 คนครับ
อ้อ เวลาเปิดปิดร้านของที่นี่จะเปิดเป็นรอบกลางวันและกลางคืนนะครับ
กลางวัน : 11.30 – 15.00 น.
กลางคืน : 17.00 – 22.00 น.
ใครที่จะมาที่นี่ก็ดูเวลาดีๆ ด้วยนะครับ โดยเวลาที่เห็นคือเวลาปิดร้านดังนั้นเวลาที่ครัวจะปิดหรือเวลาที่เราสามารถสั่งอาหารได้นั้นก็จะเร็วกว่านั้นซัก 30 นาทีครับ
หลังจากผมนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้วทางพนักงานก็นำเมนูมาให้ดูครับ เมนูของที่นี่จะมี 3-4 เล่มได้โดยจะแบ่งเป็น เมนูอาหารกลางวัน, อาหารที่ขายทั้งวัน, เครื่องดื่มและของหวานต่างๆ
โดยอาหารนั้นจะมีทั้งแบบที่เป็นจานอย่างข้าวหน้าเนื้อ, สลัด หรือซูชิ แล้วก็แบบที่สั่งเป็นเนื้อประเภทต่างๆ มาปิ้งย่างกันเอง รวมทั้งแบบที่เป็นเซ็ตที่ทางร้านจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้วครับ ซึ่งอาหารที่เป็นเซ็ตนี้จะมีราคาตั้งแต่ 780 บาท/เซ็ต จนไปถึง 2,500 บาท/เซ็ตเลยทีเดียว และก็มีเงื่อนไขด้วยว่าอาหารที่เป็นเซ็ตพวกนี้ต้องสั่งอย่างน้อย 2 เซ็ตขึ้นไป โดยบางเซ็ตก็จะมีน้ำแบบ Refill ให้ด้วยครับ
ส่วนอันนี้จะเป็นเซ็ตอาหารที่สั่งได้ในช่วงกลางวันครับ ราคาน่าสนใจกว่าเล่มที่ผ่านมาพอควร และแน่นอนว่าคนอย่างผมก็ต้องเลือกสั่งจากเล่มนี้แหละครับ โดยรายการที่สั่งไปก็คือ Kobe Beef Sukiyaki Mabushi Set B ราคา 378 บาท
สำหรับใครที่อยากจะสั่ง Kobe Beef Sukiyaki Mabushi เฉยๆ ก็ได้นะครับ ราคาจานละ 290 บาท แต่ผมดูแล้วถ้าเพิ่มอีก 88 บาทจะได้ซุป, สลัด แล้วก็ของหวานเพิ่ม ซึ่งแค่ราคาของหวานอย่างเดียวก็เกือบจะ 80 บาทแล้ว ดังนั้นผมก็เลยสั่งเป็นเซ็ตมาเพราะคุ้มกว่ามาก โดยของหวานจะมีให้เราเลือก 3 อย่าง ตัวผมเลือกเป็นพานาคอตต้า ซอสสตรอเบอร์รี่ ราคา 75 บาทครับ
แล้วก็หลังจากที่ผมคำนวนราคาแล้วก็พบว่า ผมยังเหลืองบประมาณที่พอจะสั่งอะไรได้อีกนิดหน่อย ผมก็เลยสั่งแซลมอนโทโรอาบุริชีส จำนวน 2 ชิ้น ราคา 150 บาทมาด้วยครับ
ระหว่างที่นั่งรออาหารผมก็สำรวจอะไรไปเรื่อยและก็พบว่าทางร้านเค้ามีการจัดอุปกรณ์ต่างๆ ได้สวยงามดี รวมทั้งมีกริ่งอยู่บนโต๊ะให้เราด้วย เพื่อที่เอาไว้กดเรียกพนักงานครับ
ผมนั่งรอไม่นานทางพนักงานก็นำน้ำเปล่ากับขนมปังมาให้ โดยน้ำเปล่านั้นจะราคา 30 บาท มาในภาชนะที่สวยเก๋ดี ส่วนขนมปังนั้นเป็นเมนูพิเศษที่ทางร้านให้ทุกโต๊ะอยู่แล้ว ตัวขนมปังอร่อยดีครับ
นั่งรออีกซักพัก ทางพนักงานก็นำเซ็ต Kobe Beef Sukiyaki Mabushi Set B มาเสิร์ฟครับ หน้าตาอลังการ ดูน่ากินดี โดยตอนที่พนักงานมาเสิร์ฟนั้นได้อธิบายว่าวิธีการกินเมนูข้าวหน้าเนื้อโกเบสุกี้ยากี้นี้จะมีทั้งหมด 3 วิธีได้แก่
วิธีที่ 1 : กินข้าวเนื้อตามปกติในจานของมันเอง ไม่ต้องไปยุ่งกับใคร
วิธีที่ 2 : นำสาหร่ายกับวาซาบิมาผสมกับข้าวหน้าเนื้อแล้วกินด้วยกัน
วิธีที่ 3 : ตักข้าวหน้าเนื้อใส่ถ้วยเล็กๆ และก็เทน้ำร้อนจากกาลงไปเพื่อทำเป็นข้าวต้ม
สมแล้วที่เป็นร้านสไตล์ญี่ปุ่นจ๋าขนาดนี้ ขนาดวิธีการกินยังไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่ชวนให้รู้สึกทึ่งหรือแปลกใจอยู่เสมอจริงๆ
เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็มากินไปพร้อมๆ กันเลยครับ สำหรับการกินตามวิธีที่ 1 นั้นผมรู้สึกว่ารสชาติมันดีอยู่แล้วนะครับ ถึงเนื้อจะน้อยและแข็งไปนิดนึงแต่ก็ถือว่าดีมากๆ แล้วเมื่อเทียบกับราคาและการบริการ
ส่วนการกินแบบที่ 2 นั้น ผมว่าน่าจะเหมาะสำหรับคนที่กินข้าวหน้าเนื้อเพียวๆ ตามวิธีที่ 1 แล้วคิดว่ามันจืดไปหน่อย โดยพอเราใส่วาซาบิและสาหร่ายลงไปผสมกันกับข้าวแล้วรสชาติมันก็จี๊ดจ๊าดปรี๊ดขึ้นสมองกว่าเดิมเยอะเลย สำหรับวาซาบิของที่นี่จะเป็นวาซาบิสดนะครับ เผ็ดและจี๊ดดีมาก
มาดูวิธีกินแบบที่ 3 กัน นั่นก็คือการเติมน้ำร้อนลงไปเพื่อทำให้เป็นข้าวต้ม และแน่นอนว่าเนื่องจากวันนี้ผมมาคนเดียวดังนั้นมือที่เห็นในรูปนั่นก็คือมือของพนักงานที่ร้านนั่นเองครับ > <
รสชาติการกินแบบนี้เป็นอะไรที่ถูกปากผมสุดเลยครับ แต่ถ้าจะให้กินเป็นข้าวต้มหมดทั้งจานเลยก็คงแปลกๆ ไปหน่อย ดังนั้นผมก็เลยมองว่าหากใครที่ไปที่ร้านนี้ครั้งแรกก็ให้ลองกินให้ครบทั้ง 3 แบบนั่นแหละดีแล้วครับ อย่าพึ่งกินข้าวหมดถ้วยให้เหลือมาลองทำเป็นข้าวต้มไว้กินตอนท้ายๆ ของมื้อหน่อย ผมว่ามันอร่อยและทำให้รู้สึกว่าเราได้กินอาหารหลายประเภทดีครับ
ทีนี้มาดูสลัดกันครับ ขนาดของจานไม่ใหญ่มากอยู่ในมาตรฐานของอาหารเซ็ตตามร้านทั่วไป ผักสดและสวยดี ส่วนน้ำสลัดมี 2 แบบ ได้แก่น้ำสลัดครีมที่เข้มข้น มันมากๆ แล้วก็น้ำสลัดญี่ปุ่นที่ออกเค็มอมเปรี้ยวนิดๆ ใครชอบแบบไหนก็จัดไปเลยครับ
ต่อด้วยซุปไข่ เมนูนี้อร่อยดีครับ เป็นซุปของญี่ปุ่นที่ไม่เคยกินมาก่อน อารมณ์เหมือนประมาณไข่น้ำ ใครชอบเมนูแนวนี้ก็จัดไปครับ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ไปสั่งชุดอื่นแทน มันจะเปลี่ยนจากซุปไข่เป็นไข่ตุ๋นแทนครับ
ก่อนจะไปดูของหวานที่มาในเซ็ต เราไปดูเมนูแซลมอนโทโรอาบุริชีสกันก่อนดีกว่า ขนาดชิ้นที่ได้ถือว่าใหญ่เลยครับ อย่างผมเองก็ต้องอ้าปากกว้างสุดจึงจะสามารถกินมันหมดทั้งคำได้
รสชาติของเมนูนี้ถือว่าอร่อยดี แต่คราวหน้าผมคงเลือกแบบธรรมดาไม่ใส่ชีสเพราะโดยปกติไม่ใช่คนชอบกินชีสซักเท่าไหร่อยู่แล้วเพียงแต่วันนี้นึกอยากลองเฉยๆ ครับ
ปิดท้ายกับของหวานที่อยู่ในเซ็ตของ Kobe Beef Sukiyaki Mabushi เซ็ต B นั่นก็คือพานาคอตต้า ซอสสตรอเบอร์รี่
ขนาดของถ้วยไม่ใหญ่มาก มาเป็นขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มกำลังดี ทางพนักงานจะมาเสิร์ฟหลังจากที่เราบอกนะครับ เพื่อที่เราจะได้กินมันตอนเย็นๆ อยู่ ส่วนผลไม้ด้านบนที่ใส่มาเป็นผลไม้สด รสชาติโดยรวมอร่อย สอบผ่านครับ
หลังจากที่ผมทานอาหารต่างๆ เสร็จเรียบร้อยก็เรียกเช็คบิลครับ โดยค่าเสียหายของมื้อนี้ทั้งหมดหลังจากรวม Service Charge 10% และ Vat 7% แล้วก็คือ 656.77 บาท และหลังจากผมใช้ voucher 500 บาทไป ก็เหลือที่ผมต้องชำระเพิ่ม 156.77 บาทครับ
ตัว voucher นั้นจะใช้ลดในยอดอาหารและเครื่องดื่มก่อนที่จะมีการคำนวนพวก Service Charge และ Vat นะครับ โดยพวก Service Charge และ Vat นั้นก็จะคิดจากราคาอาหารเต็มๆ ก่อนหักส่วนลดครับ
หลังจากที่ผมชำระค่าอาหารเสร็จ ทางพนักงานก็ได้ชวนผมคุยหลายอย่างเลยและก็พาผมเดินดูบริเวณต่างๆ รอบร้าน โดยคาดว่าส่วนหนึ่งที่เค้าชวนผมเดินเล่นก็คงเป็นเพราะเค้าเห็นผมถ่ายรูปอาหารอยู่นานแล้วก็ประจวบกับที่ร้านตอนนั้นไม่มีคนด้วย ก็เลยพาผมเดินดูทั่วๆ เผื่อวันหลังผมอยากจะกลับมาอีกครับ ><
ลักษณะของร้าน Yasuda นั้น จะเป็นร้าน 2 ชั้น ที่มีส่วนที่นั่งทานอาหารได้หลายบริเวณมากทั้งส่วนที่ผมนั่งเมื่อกี้แล้วก็บริเวณปีกอีกข้างของร้าน รวมไปถึงด้านหลังและชั้นบนอีกด้วย โดยส่วนอื่นๆ นอกจากที่ผมนั่งจะเป็นส่วนที่ทำเป็นห้องส่วนตัวไว้ มีหลายขนาดเลยตั้งแต่ 3-4 คนจนไปถึง 20-30 คนเลยครับ เพราะบางห้องเค้าสามารถเปิดทะลุถึงกันได้ครับ
ในห้องส่วนตัวพวกนี้เราสามารถทำการปิ้งย่างเนื้อได้เลยนะครับ เพราะเค้ามีพัดลมระบายอากาศเอาไว้แล้ว แล้วก็เตาที่เค้าใช้ย่างนั้นทางร้านบอกเป็นเตาพิเศษที่ทำมาจากหินภูเขาไฟฟูจิเลย @_@
ปล. ปัจจุบันห้องส่วนตัวพวกนี้สามารถเข้าใช้บริการได้ฟรีเลย ไม่มีค่าห้องครับ
ส่วนบรรยากาศอื่นๆ ของร้านก็ดูสวยดีครับ ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งต่างๆ การไล่ระดับ การทำสวนสีเขียวแทรกอยู่ตรงกลาง แล้วก็การทำห้องน้ำที่แสนจะไฮไซและอัจฉริยะมาก เพราะเป็นห้องน้ำแบบที่อัตโนมัติทุกอย่างตั้งแต่ที่เราเปิดประตูเข้าไป ฝาชักโครกก็จะเปิดอ้ารอเราไปนั่งทันทีครับ
หลังจากที่ทัวร์ชมร้านเสร็จแล้วก็ได้เวลาที่ผมจะต้องนั่งรถกลับปากซอยเพื่อไปต่อ BTS กลับบ้านแล้วครับ แต่ก่อนที่จะไปผมก็ขอสรุปทิ้งท้ายกับร้านนี้หน่อยแล้วกันนะครับ
รสชาติอาหาร : ทุกเมนูที่ผมได้กินวันนี้อร่อยหมดเลยครับ ตัวเนื้อในข้าวหน้าเนื้อนั้นแม้จะยังไม่สุดยอดมาก แต่เมื่อเทียบกับราคาก็ถือว่าดีมากแล้วครับ และคิดว่าหากใครอยากชิมเนื้อที่เด็ดกว่านี้ทางร้านเค้าก็มีไว้ให้เลือกหลายแบบเลยครับ แต่ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามคุณภาพนะครับ ><
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นร้านอาหารที่มีความหลากหลายดีครับ แม้จะเน้นเมนูเด่นๆ ว่าเป็นเนื้อแต่ก็มีการประยุกต์ออกมาหลายแบบ อีกทั้งยังมีเมนูพวกสลัดกับซูชิอีกด้วย ดังนั้นต่อให้เรามาเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ซัก 10 คนก็น่าจะยังคงโอเคกับการเลือกเมนูอยู่ครับ
ความสะอาดของร้าน : สะอาด ดูดี มีสไตล์ เป็นอะไรที่ผมประทับใจมากครับ การออกแบบต่างๆ ออกแนวเรียบง่ายแต่ดูได้นาน
การบริการของพนักงาน : อาจจะเอาผมเป็นบรรทัดฐานมากไม่ได้นะครับ เพราะว่าวันที่ผมไปนั้นทั้งร้านมีผมแค่คนเดียว ดังนั้นพนักงานจึงดูแลผมดีมากๆ ชนิดที่พนักงานเดินไปส่งผมจนถึงรถเลยครับ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าคนเยอะๆ เต็มร้านแล้วการบริการจะดีขนาดไหนเพราะวันที่ผมไปนั้นผมเห็นพนักงานในร้านแค่ไม่กี่คนเองครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : หากใครมีรถก็คงไม่มีประเด็นอะไรมาก เพราะถึงแม้จะเข้าซอยลึก ค่อนข้างแคบและคดเคี้ยวนิดหน่อย แต่ปากซอยสุขุมวิท 34 นั้นก็สังเกตได้ง่าย แถมที่ร้านก็มีที่จอดรถเยอะพอควรอีกด้วย ส่วนคนที่ไม่มีรถก็ถือว่าสะดวกอยู่เพราะเราสามารถลง BTS ทองหล่อและให้รถของร้านมารับได้ อีกทั้งระยะทางจากปากซอยสุขุมวิท 34 กับ BTS ทองหล่อเองก็ไม่ไกลมาก แต่หากวันไหนรถของร้านมีปัญหามารับ-ส่งไม่ได้ ก็คงเป็นเรื่องอยู่ครับเพราะมันต้องเดินเข้าซอยไกลมากพอดูเลย
ความคุ้มค่า : เมื่อเทียบกับทำเล ราคา หน้าตาอาหาร รสชาติ การบริการ รวมทั้งหน้าตาของร้านแล้ว ผมถือว่าเป็นร้านอาหารในย่านนี้ที่คุ้มค่านะครับ บรรยากาศร้านดีแล้วก็ราคาไม่ได้สูงเท่าที่ผมแอบคิดไว้ในใจครับ
สรุป : หากคุณเป็นคนชอบทานเนื้อ และอยากจะหาร้านบรรยากาศดีๆ แถวทองหล่อเพื่อกินเนื้อดีๆ กับแฟน หรือเฮฮากับเพื่อนที่ทำงาน ร้านนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเลยครับ ด้วยบรรยากาศร้านที่ได้ความเป็นญี่ปุ่นจ๋า, การการันตีจากทางโกเบว่าเป็นร้านที่นำเนื้อเข้ามาจากญี่ปุ่นจริงๆ, ห้องส่วนตัวที่ไม่มีค่าบริการ แล้วก็ที่จอดรถที่มีจำนวนเยอะใช้ได้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทางร้านเค้าบอกว่าสำหรับใครที่ต้องการไปทานอาหารที่ร้านในช่วงเย็นวันศุกร์หรือวันสิ้นเดือนนั้นควรจะโทรจองเอาไว้ก่อนเพราะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเต็มตลอดครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับ สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามเรื่องราวการรีวิวต่างๆ ที่รวดเร็วทันใจ สามารถกดติดตามได้ที่เพจ ภรรยาหา สามีใช้ และสำหรับท่านที่อยากจะได้ข้อมูลของร้านนี้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูข้อมูลตามลิงก์ด้านล่างได้เลยครับ
Facebook : Yasuda ทองหล่อ
หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมในวันที่ไปใช้บริการเท่านั้นครับ แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป